Wednesday, April 02, 2008

เคล็ด (ไม่) ลับ เพิ่มสมรรถภาพสมองและความจำ

เมื่อสมองแจ่มใส จิตใจเบิกบาน ความจำเป็นเลิศ ไม่ว่าจะทำอะไรก็มั่นใจ ไร้ความวิตกกังวล แต่สภาพสังคมในปัจจุบันช่างเป็นอุปสรรคต่อการจดจำสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในแต่ละวันเสียจริง จนทำให้หลายๆ คนมีอาการหลงลืมและพลาดเรื่องสำคัญไปอย่างน่าเสียดาย แต่นักวิจัยเขามีเคล็ด (ไม่) ลับ การดูแลสุขภาพสมองและความจำมาฝากกัน

สภาพสังคมที่สับสนวุ่นวายและตึงเครียดมีส่วนชักนำให้สมองและความจำของคนเราด้อยศักยภาพ ส่งผลให้ขาดประสิทธิภาพในการเรียนรู้และการทำงาน เหล่านักวิจัยจาก ม.ขอนแก่น ที่มาร่วมงานประชุมวิชาการระดับชาติครั้งแรกของประเทศด้านประสาทวิทยาศาสตร์ (The First National Conference on Neuroscience) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 มี.ค.51 ที่ผ่านมา มีคำแนะนำดีๆ สำหรับกระตุ้นการเรียนรู้และความจำมาฝากกัน

กินแบบไหนช่วยให้สมองและความจำดีขึ้นได้

ผศ.ดร.จินตนาภรณ์ วัฒนธร หัวหน้ากลุ่มวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพและการเพิ่มประสิทธิภาพสมอง คณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น เผยว่าการทำงานของสมองนั้นเกี่ยวข้องกับสารสื่อประสาท โดยเฉพาะ อะซีทิลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพความจำของสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (hippocampus) และอาหารหลายชนิดมีส่วนช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น

ในพืชผักจำพวกหอมหัวใหญ่ พริก ขิง เหล่านี้มีสารสำคัญที่ช่วยเพิ่มเซลล์สมองส่วนฮิปโปแคมปัส และกระตุ้นการหลั่งอะซีทิลโคลีน ส่งเสริมให้ความจำดีขึ้นได้ สาระสำคัญในใบบัวบกช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของสมอง ทำให้สมองตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ดี สมาธิดี และความจำดีขึ้น

สารทอรีน (taurine) ที่พบเฉพาะในโปรตีนจากเนื้อสัตว์เท่านั้น ช่วยบำรุงสมองและจำเป็นต่อการดำรงอยู่ของเซลล์สมอง ส่วนกรดโฟลิก (folic acid) ที่พบมากในผักใบเขียว จำเป็นต่อการสังเคราะห์ดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยป้องกันไม่ให้ทารกที่เกิดมาพิการทางสมองส่วนโอเมกา 3 (omega 3) ซึ่งพบมากในปลาทะเล และเป็นสารสำคัญที่ช่วยให้เซลล์ประสาททำงานได้อย่างเป็นปกติ ช่วยลดการเกิดพังผืด (plaque) ในสมองและป้องกันอัลไซเมอร์ได้

“โดยทั่วไปหากกินอาหารที่มีประโยชน์อย่างเพียงพอในแต่ละวันทำให้ร่างกายได้รับสารที่มีประโยชน์อย่างเพียงพออยู่แล้ว แต่ในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่จำเป็นเสริม เช่น ในรูปผลิตเสริมอาหารชนิดเม็ดหรือแคปซูล ก็ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจปนเปื้อนมากับผลิตภัณฑ์เหล่านั้น เช่น โลหะหนัก หรือสารหนู” ผศ.ดร.จินตนาภรณ์ แนะนำ

ออกกำลังอย่างไรให้สมองแจ่มใส สุขภาพดีทั้งกายและใจ

ผศ.ดร.สุภาพร มัชฌิมะปุระ ภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ให้ข้อมูลว่าจากการศึกษาของนักวิจัยทำให้รู้ว่าการออกกำลังกายนั้นมีผลต่อการทำงานของสมองโดยตรง เพราะการออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด อัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้เลือดนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ดียิ่งขึ้น

เซลล์สมองจำเป็นต้องใช้พลังงานมาก เมื่อได้รับพลังงานอย่างเพียงพอสมองก็จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ชะลอการเสื่อมของเซลล์สมองให้ช้าลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาท ส่งเสริมการเรียนรู้และความจำให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในเด็กจะช่วยให้ตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้รวดเร็ว

อีกทั้งการออกกำลังกายยังเป็นการแสดงออกถึงความเครียดเล็ก ซึ่งเมื่อออกกำลังกายเป็นประจำเสมือนเป็นการฝึกให้สมองอดทนต่อความเครียดไปในตัว ช่วยลดภาวะความซึมเศร้าได้เป็นอย่างดี

การออกกำลังกายที่ดีต่อสมองนั้นควรออกกำลังกายให้หลากหลายประเภท เพื่อเป็นการกระตุ้นการเรียนรู้ของสมองจากการได้ฝึกฝนทักษะใหม่ๆ เช่น การเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือเต้นแอโรบิก เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้เราได้พบปะผู้คนและมีปฏิสัมพันธ์กับคนในสังคมที่หลากหลาย ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดและลดภาวะซึมเศร้าได้

สำหรับผู้ที่เริ่มต้นออกกำลังกายควรเริ่มจากทีละไม่มาก 10 นาทีต่อครั้ง, 3 ครั้งต่อวัน และค่อยพัฒนาไปเป็น 15-30 นาทีต่อครั้ง, 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ที่สำคัญอย่าหักโหมเกินไป อาจให้โทษมากกว่าประโยชน์

ส่วนเด็กๆ ก็ควรละสายตาจากคอมพิวเตอร์แล้วเปลี่ยนไปวิ่งเล่นออกกำลังกายกับเพื่อนวัยเดียวกัน จะช่วยกระตุ้นการเรียนรู้และความคิดได้เป็นอย่างดี และใครที่ยังหาเวลาออกกำลังกายอย่างจริงจังไม่ได้ การยืดเส้นยืดสายหรือขยับร่างกายอยู่บ่อยก็ช่วยได้

กระตุ้นสมองและความจำด้วย “สุคนธบำบัด”

ศาสตร์และความเชื่อแห่งสุคนธบำบัดหรือการบำบัดด้วยกลิ่น (aromatherapy) มีมานานนับพันปี มาถึงศตวรรษนี้ก็ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าได้ผลดีจริง รศ.ดร.เจียมจิต แสงสุวรรณ คณะพยาบาลศาสตร์ เผยผลการวิจัยในประเทศอังกฤษว่า ได้มีการทดลองให้อาสาสมัครจำนวนหนึ่งทดลองดมกลิ่นน้ำมันหอมระเหยจากกุหลาบก่อนทำงานทุกคน พบว่าทุกคนมีสมาธิดีและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จากนั้นแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 4 กลุ่ม และให้ดมกลิ่นน้ำมันหอมระเหยจากกุหลาบอีกครั้งหนึ่ง โดยกลุ่มแรกให้ดมก่อนนอน กลุ่มที่ 2 ให้ดมขณะกำลังเคลิ้มหลับ กลุ่มที 3 ให้ดมขณะหลับลึก และกลุ่มที่ 4 ให้ดมหลังจากตื่นนอน ซึ่งจากการตรวจวัดคลื่นสมองและทดสอบความจำผลปรากฏว่ากลุ่มที่ได้รับกลิ่นขณะหลับลึกสามารถจดจำงานที่ทำไปก่อนหน้านั้นได้ดีที่สุดนักวิจัยจึงสรุปว่ากลิ่นนั้นช่วยให้สมองมีความจำดีในขณะเรียนรู้ได้ และยังช่วยเปลี่ยนให้เป็นความจำระยะยาวได้ในขณะนอนหลับลึก

รศ.ดร.เจียมจิต จึงแนะนำว่าการนำกลิ่นกุหลาบไปใช้ในห้องเรียนสามารถช่วยให้เด็กนักเรียนมีสมาธิและความจำดีขึ้น ตื่นตัวและตั้งใจเรียนมากขึ้น คุยกันน้อยลง และกลิ่นกุหลาบนี้ยังช่วยบรรเทาอาการก้าวร้าว การมีจิตใจฝังลึกในผู้ป่วยจิตเวทได้ด้วย

นอกจากนี้กลิ่นโรสแมรีและกลิ่นเปปเปอร์มินท์ช่วยให้สมองตื่นตัวต่อการเรียนรู้ ส่งเสริมให้ความจำดีขึ้น กลิ่นมะนาวช่วยกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาท ลดความตึงเครียด ทำให้จิตใจสงบ เช่นเดียวกับลาเวนเดอร์ และกลิ่นส้ม ซึ่งช่วยให้คนไข้ในคลินิกทันตกรรมสามารถรอนานได้โดยไม่ฉุนเฉียวและบ่นน้อยลง อย่างไรก็ดีกลิ่นส้มหรือซิตรัส (citrus) นี้ไม่ควรใช้กับหญิงตั้งครรภ์ เพราะอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์.


ที่มา http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9510000036733

Monday, January 15, 2007

10 เรื่องง่ายๆ ในชีวิต เพื่อทำให้สุขภาพดีได้ไม่ยาก

10 เรื่องง่ายๆ ในชีวิต เพื่อทำให้สุขภาพดีได้ไม่ยาก

1. สำรองผลไม้ไว้ในตู้เย็น

ได้แก่กะหล่ำปลี แครอท ส้ม แอปเปิ้ล ซึ่งนอกจากจะได้ไดเอตแล้ว การรับประทานผัก & ผลไม้ประจำ ยังช่วยลด

ความเสี่ยงจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย

2. เหงือกดีด้วยน้ำชายามเช้า

องค์การอาหารและยาของสหรัฐและสวีเดน บอกว่าการบ้วนปากในช่วงเช้าด้วยน้ำชา จะช่วยลดแบคทีเรียในช่องปาก

เนื่องจากสารโพลีฟีนอล จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุของฟันผุ

3. ดื่มน้ำมาก ๆ

อย่างน้อยวันละ 5 แก้ว ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และกระเพาะปัสสาวะได้เกือบ 50% เชียวล่ะ

4. เปลือยเท้า คลายเคลียด

การย่ำเท้าเปล่าไปบนทรายนุ่มๆ จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

5. รับแสงแดดอ่อน

มีข้อมูลจากการวิจัยระบุว่า ผู้หญิงที่ไม่ค่อยโดนแดดเอาเสียเลย มีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้หญิง

ที่อยู่ในเมืองที่มีแดด เนื่องจากแสงแดดช่วยสังเคราะห์วิตามินดีในร่างกาย เราควรรับแดดอ่อนๆ ในช่วงเย็น

6. หันมาทานขนมปังโฮลวีทกันเถอะ

สำหรับอาหารว่างยามบ่าย แทนที่จะทานคุ๊กกี้หรือเค็ก เปลี่บนมาทานขนมปังโฮลวีทสัก 2 แผ่น

รับรองว่า จะช่วยให้คุณมีกำลังวังชา และยังไม่อ้วนอีกด้วยล่ำ

7. สลัดปลาทูน่าเพิ่มความจำ

ใครที่รู้ตัวว่า เริ่มจะหลงๆ ลืมๆ ลองหันมาทานสลัดปลาทูน่า หรืออาหารเมนูปลารวมทั้งเพิ่มอาหารที่มีวิตามินบี2

เช่น ไข ถั่วเหลือง นม นอกจากจะช่วยให้อารมณ์ดี ยังช่วยเพิ่มพลังความจำให้กับสมองได้

8. เดินไวๆ ช่วยให้สุขภาพหัวใจแข็งแรง

ลองเดินให้ไวขึ้นอีกนิด อาจใช้เวลาเดินในช่วงเช้า หรือหลังเลิกงาน ให้ได้วันละ 20 นาที จะช่วยบริหารหลอดเลือด

หัวใจให้แข็งแรง และยังให้หุ่นสลิมสมส่วนเป็นของแถม

9. เติมไขมันดีๆ ให้ร่างกาย

ไขมันไม่ได้เป็นผู้ร้ายซะทีเดียว เพราะมีไขมันหลายชนิดที่เป็นมิตรกับร่างกายนะ หากร่างกายขาดแคลน อาจมีผลต่อ

การดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค และจะทำให้รู้สึกอ่อนเพลียได้ เลือกทานอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัว จากน้ำมันมะกอก

น้ำมันถั่ว และไขมันโอเมก้า 3 จากปลา ไม่เพียงให้พลังงาน ทำให้มีเรี่ยวแรง ยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งและโรคหัวใจด้วย

10. JUST DO NOTHING

ลองหยุดภาระวุ่นๆ สักสัปดาห์ละวัน หรือวันละ 1 ชม. ให้ปลอดจากเรื่องงาน และคนรอบข้าง ให้เวลาอยู่คนเดียว

ตามลำพัง จะช่วยให้คุณรู้สึกสงบ อาจจะฟังเพลงเงียบๆ หรืออาบน้ำอุ่นๆ แล้วอ่านหนังสือเล่มโปรด ชมดอกไม้

เป็นการเติมความรื่นรมย์ทางด้านจิตใจ ทำให้คุณสดชื่น และมีความสุข และให้ห่างไกลจากโรครีบร้อน เร่งรีบ

จนแทบไม่มีเวลาสำหรับตัวเอง

เวลาการทำงานของร่างกาย

อวัยวะต่างๆ เค้าก็มีเวลาทำงานเป็นของเค้าเองนะ..ไปทำความเข้าใจร่างกายกัน!


รู้ไหมว่าร่างกายเราจะมีการไหลเวียนของพลังชีวิต (ลมปราณ) ผ่านอวัยวะภายในต่างๆตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งถ้าหากรู้จักปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องเหมาะสมก็จะช่วยให้สุขภาพดีได้ in magazine จึงนำเกร็ดความรู้เกี่ยวกับนาฬิกาชีวิตของ อ.สุทธิวัสส์ คำภา มาฝาก

การไหลเวียนผ่านแต่ละอวัยวะนั้นจะใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง ซึ่งร่างกายคนเรามีทั้งหมด 12 อวัยวะ ได้แก่ หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ และระบบความร้อนของร่างกาย กว่าจะไหลเวียนครบทุกอวัยวะก็จะใช้เวลา 1 วันเต็มพอดี โดยเริ่มจาก

01.00-03.00 น. ตับ ในช่วงเวลานี้ตับจะหลั่งสารมีราโทนิน เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย แถมยังหลั่งสารเอ็นโดรฟินออกมาด้วย จึงควรพักผ่อนนอนหลับให้สนิท และไม่ควรทานอาหารเพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว ทำให้ไม่สามารถขจัดสารพิษในร่างกาย ถ้าตับมีปัญหา เส้นผม ขน และเล็บจะไม่สวย

03.00-05.00 น. ปอด ควรตื่นขึ้นมาสูดอากาศบริสุทธิ์ และรับแดดตอนเช้า หากตื่นแบบนี้เป็นประจำทุกวัน ปอดจะดี ผิวก็จะดีขึ้นตาม

05.00-07.00 น. ลำไส้ใหญ่ ควรถ่ายทุกเช้าให้เป็นนิสัย ถ้าถ่ายไม่ออกให้ดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว หรือน้ำผึ้งผสมมะนาว และอาจบริหารโดยยืนตรง หายใจเข้า แล้วก้มลงพร้อมหายใจออก เอามือเท้าเข่าแขม่วท้องจนเหมือนว่าหน้าท้องไปติดสันหลัง ให้ทำจนกว่าจะถ่าย

คนที่ไม่ถ่ายหรือถ่ายยากในตอนเช้า ร่างกายจะดูดกากอาหารตกค้างซึ่งกำลังจะเป็นอุจจาระกลับเข้าไปใหม่ ทำให้ลำไส้ใหญ่รวนผิดปกติ ส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวไหล่ และอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นอนกรน

07.00-09.00 น. กระเพาะอาหาร หากกินข้าวเช้าช่วงนี้ได้ทุกวันจะช่วยให้กระเพาะแข็งแรง ถ้าปล่อยให้กระเพาะอ่อนแอ จะทำให้เป็นคนตัดสินใจช้า ขี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย

ถ้าไม่กินข้าวเช้าอุจจาระจะถูกดูดกลับมาที่กระเพาะ ทำให้กลิ่นตัวเหม็น ถ้าถ่ายออกหมดก็จะไม่มีกลิ่นตัวเท่าไร

09.00-11.00 น. ม้าม ม้ามมีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ยังนอนหลับช่วงนี้อยู่จะทำให้ม้ามอ่อนแอ คนที่พูดมากช่วงนี้ม้ามจะชื้น อาหารและน้ำที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมัน ทำให้อ้วนง่าย ดังนั้น จึงควรพูดน้อย กินน้อย และไม่นอนหลับในช่วงนี้ ม้ามจึงจะแข็งแรง

คนที่ปวดหัวบ่อย และมีอาการเจ็บชายโครงนั้นมักมาจากม้าม หากม้ามโตจะไปเบียดปอดทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง และสร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย

11.00-13.00 น. ระบบหัวใจ ช่วงนี้หัวใจจะทำงานหนัก จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียด หรือเหตุที่ทำให้ต้องใช้ความคิดหนัก ควรหาทางระงับอารมณ์ให้ผ่อนคลาย

13.00-15.00 น. ลำไส้เล็ก ลำไส้เล็กทำหน้าที่ดูดสารอาหารที่เป็นน้ำทุกชนิด เช่น วิตามินซี บี โปรตีน เพื่อสร้างกรดอะมิโน สร้างเซลล์สมอง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง ถ้ากรดอะมิโนน้อย ไข่จะมาไม่ครบทุกเดือน ดังนั้น จึงควรงดกินอาหารทุกประเภทในช่วงเวลานี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ลำไส้ทำงานได้อย่างเต็มที่

15.00-17.00 น. กระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบความจำ ไทรอยด์ และระบบเพศทั้งหมด ช่วงนี้ควรทำให้เหงื่ออกด้วยการออกกำลังกายหรืออบตัว กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง การอั้นปัสสาวะบ่อยจะทำให้ปัสสาวะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด ส่งผลให้เหงื่อมีกลิ่นเหม็น

17.00-19.00 น. ไต ควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอน เวลานี้ถ้าง่วงแสดงว่าไตเสื่อม ถ้าหลับแล้วเพ้อแสดงว่าอาการหนัก ถ้าไตซ้ายมีปัญหา จะกลายเป็นคนขี้ร้อน ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่รักสวยรักงาม แต่ถ้าไตขวามีปัญหา ความจำเสื่อมและเป็นคนขี้หนาว

ถ้าไตทำงานหนักก็จะกลายเป็นโรคไต สมองเสื่อม ปวดหลัง เป็นหวัดง่าย มีเสลดในคอ

19.00-21.00 น. เยื่อหุ้มหัวใจ ปัญหาเกี่ยวกับเยื่อหุ้มหัวใจ คือ หัวใจโต หัวใจรั่ว เส้นโลหิตหัวใจตีบ ช่วงนี้จึงต้องระวังเรื่องอารมณ์ตื่นเต้น ดีใจ และการหัวเราะ ควรทำจิตใจให้สงบด้วยการสวดมนต์ ทำสมาธิ

21.00-23.00 น. ระบบความร้อนของร่างกาย ช่วงนี้อย่าตากลม เพราะลมมีพิษ ควรทำร่างกายให้อุ่น ห้ามอาบน้ำเย็น จะเจ็บป่วยได้ง่าย (ตอนเย็นควรอาบน้ำอุ่น ส่วนตอนเช้าควรอาบน้ำเย็น)

23.00-01.00 น. ถุงน้ำดี เมื่ออวัยวะใดขาดน้ำก็จะดึงจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น อารมณ์จะฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก ตอนเช้าจะจาม ถุงน้ำดีจะโยงไปถึงปอด จะปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ ดังนั้น จึงควรดื่มน้ำก่อนเข้านอน หรือก่อนเวลา 23.00 น.

Monday, December 18, 2006

เมนูหลับสบาย คลายเครียด

เฮลธ์คลับ ช็อกโกแลต -กล้วยเชื่อม เมนูหลับสบาย คลายเครียด
"ภาวะเครียด" เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการฆ่าตัวตายในสังคมปัจจุบัน โดยกรมสุขภาพจิตชี้ว่า ในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา จำนวนคนฆ่าตัวตายมีอัตราเพิ่มขึ้นถึง 60% ซึ่งเป็นการสวนทางกันอย่างสุดขั้วระหว่างความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความตกต่ำของภาวะจิตใจ อย่างไรก็ดี ภาวะความเครียด ยังถือเป็นปัญหาของคนเมืองที่มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นทุกปี เช่น ภาวะซึมเศร้า ภาวะวิตกกังวล ภาวการณ์ปรับตัวที่ผิดปกติ โดยตั้งแต่ช่วงหลังภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่แตก มีผู้โทรมาขอคำปรึกษาแนะนำทางโทรศัพท์จากหน่วยงานให้บริการคำปรึกษาแนะนำทางโทรศัพท์เป็นจำนวนมาก โดยประเด็นที่ทำให้โทรมามากที่สุดคือ "รู้สึกเครียด" และปัจจุบัน โรคเครียดได้กลายเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ร้ายแรงที่สุดในขณะนี้ "ภาวะเครียด" ส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติทางร่างกาย จากงานสัมมนาพิเศษ "สายสุขภาพไฟเซอร์กับเคล็ดลับฝ่าวิกฤติโรคเครียด" จัดโดย "ไฟเซอร์" ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้นคว้าวิจัยเวชภัณฑ์ระดับโลกร่วมกับ "สายสุขภาพไฟเซอร์ 0-2664-5888" ซึ่งเป็นบริการรับปรึกษาปัญหาสุขภาพทางโทรศัพท์ โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มีข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเครียดที่น่าสนใจจาก น.พ.พนมทวน ชูแสงทอง จิตแพทย์ และอาจารย์แพทย์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานคร และวชิรพยาบาล ว่า "ภาวะเครียด" เป็นเรื่องของจิตใจที่เกิดจากความตื่นตัว เตรียมเผชิญกับเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งไม่น่าพึงพอใจ หรือคาดไม่ถึง เป็นเรื่องที่เราเองคิดว่าหนักหนาสาหัสเกินกำลังความสามารถที่จะแก้ไขได้ ทำให้เกิดความรู้สึกหนักใจ กังวล ไม่สบายใจ หรือแม้แต่คับข้องใจ และส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติทางร่างกายเกิดขึ้น หากว่าความเครียดนั้นมีมากและคงอยู่เป็นระยะเวลานาน แต่ทว่าความเครียดที่ไม่มากนัก จะเป็นแรงกระตุ้นที่ดี ช่วยให้คนเราเกิดแรงฮึดมุมานะที่จะเอาชนะปัญหาและอุปสรรคต่างๆ หากแต่เรามีความเครียดมากมาย และไม่รู้จักผ่อนคลาย และหากปล่อยไว้นานเข้า อาจมีปัญหาความผิดปกติทางร่างกายและจิตใจได้ในที่สุด สาเหตุของความเครียดมีสาเหตุ 3 ด้าน สำหรับสาเหตุของความเครียดมีสาเหตุ 3 ด้าน ได้แก่ สาเหตุทางด้านจิตใจ เช่น ความกลัวว่าจะไม่ได้ดังหวัง กลัวจะไม่ประสบความสำเร็จ หนักใจกังวลใจในงานที่ได้รับมอบหมาย หรือแม้แต่กลัวกังวลสิ่งที่ยังมาไม่ถึง สาเหตุที่จากเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เช่น การเปลี่ยนช่วงวัย แต่งงาน การตั้งครรภ์ การเริ่มเข้าทำงานหรือการเปลี่ยนงาน เปลี่ยนที่เรียน สุดท้ายคือสาเหตุจากการเจ็บป่วยทางร่างกาย เช่น การเจ็บไข่ต่างๆ โรคที่รุนแรง และเรื้อรัง หรือโรคที่คาดว่าถึงแก่ชีวิตในที่สุด อาการเครียดสามารถสังเกตได้ดังนี้ วิตกกังวล หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย ควบคุมอารมณ์ตนเองยากขึ้น ปวดศีรษะ มึนงง ตื่นเต้น ตกใจง่าย หลับไม่สนิท เบื่ออาหาร ไม่อยากรับประทานอะไร แต่บางคนอาจรับประทานมากขึ้น ใจสั่นถอนหายใจบ่อยๆ ท้องผูก หรือท้องเสีย ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดต้นคอหรือไหล่ ปวดเมื่อยตามตัว เหนื่อยง่าย รู้สึกอ่อนเพลียบ่อย ไม่มีสมาธิ ทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเหมือนเดิม ประจำเดือนไม่ปกติ สมรรถภาพทางเพศลดลง และความเครียดอาจก่อให้เกิดโรคอื่นๆ ตามได้ เช่น โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง หอบหืดและภูมิแพ้ ปวดหลัง เบาหวาน ข้ออักเสบ รวมทั้งภาวะติดสารเสพติดต่างๆ "อาหารคลายเครียด (Food Therapy)" คือหนึ่งในวิถีแห่งการผ่อนคลายความเครียด โดยสารอาหารที่ช่วยลดระดับความเครียด คือ ทริปโตฟาน (1-2 กรัม ก่อนนอน) พบได้ใน ไข่ ถั่วเหลือง นมวัว เนื้อสัตว์ วิตามินบี 6 (40 มิลลิกรัมต่อวัน) พบในธัญพืชต่างๆ ยีสต์ รำข้าว เครื่องใน เนื้อ ถั่ว ผัก วิตามินบี 3 (1,000 มิลลิกรัมต่อวัน) พบในตับเครื่องใน เนื้อ เป็ด ไก่ ปลา ถั่ว ยีสต์ สารอาหารอื่นๆ เช่น แคลเซียม กระเทียมและดอกไม้จีน เป็นต้น สำหรับเมนูอาหารคลายเครียดยอดฮิตคือ ซ็อคโกแลตกับน้ำมะตูมจะช่วยลดอาการกระวนกระวายและอาการตึงเครียดได้ ส่วนกล้วยเชื่อมกับนมสด หากดื่มก่อนนอนเป็นประจำทุกวันจะช่วยลดอาการตึงเครียดและทำให้นอนหลับสบาย (แต่หากเกรงว่ากล้วยเชื่อมจะทำให้อ้วน สามารถทานกล้วยสดแทนก็ได้เช่นกัน) นอกจากอาหารคลายเครียดแล้ว การฝึกฝนให้รู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง และการรู้จักปล่อยวาง เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คุณมองทะลุ เข้าใจถึงเหตุและผลของการเกิดอารมณ์ได้เป็นอย่างดี และช่วยให้สามารถควบคุมความเครียดที่กำลังเกิด ณ ขณะนั้น อันจะส่งผลให้คุณไม่ต้องทุกข์ทรมานกับ "โรคเครียด" อีกต่อไป

โรคยอดฮิต ความดันโลหิตสูง และ เบาหวาน

ขอนำบทความจาก นายแพทย์พินิจ กุลละวณิชย์

โรคยอดฮิต ความดันโลหิตสูง และ เบาหวาน
จากการที่ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมโรงพยาบาลเกือบทั่วประเทศ รวมทั้งโรงพยาบาลชุมชน (อำเภอ) ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ผมแปลกใจมากที่ได้รับทราบว่าโรคลำดับต้น ๆ ที่โรงพยาบาลไม่ว่าจะอยู่ในถิ่นแร้นแค้นแค่ไหนพบมาก คือ โรคความดันโลหิตสูง (hypertension) และโรคเบาหวาน (diabetes mellitus) ที่ผมแปลกใจก็เพราะทั้ง 2 โรคนี้มักจะเกิดในผู้ที่มีอันจะกิน มักเป็นโรคที่พบในเมือง ไม่น่าจะใช่ในชนบท พบในประเทศที่เจริญแล้ว ในประเทศที่มีคนอ้วนมาก ๆ เช่น อังกฤษ อเมริกา แต่ปรากฏว่าคนไทยที่มีฐานะยากจน ที่ไม่อ้วนก็ยังเป็นโรคนี้

ผมจึงอยากประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนชาวไทยทุก ๆ คน (ถ้าเป็นไปได้) ได้รู้จัก 2 โรคนี้ รู้จักป้องกันตนเองไม่ให้เป็นโรคนี้ หรือถ้าเป็นแล้วรู้จักวิธีดูแลตนเอง ผ่อนหนักให้เป็นเบา ก่อนอื่นคงต้องบอกว่าโรคนี้มีส่วนที่เป็นกรรมพันธุ์ ถ้าบิดามารดาเราเป็นโรค 2 นี้ เรามีสิทธิเป็นมากกว่าผู้ที่บิดามารดาไม่เป็นโรคนี้ ประเด็นที่สำคัญ คือ ครึ่งหนึ่งของผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงไม่มีอาการ บางครั้งกว่าจะรู้สึกก็เลือดออกในสมองเป็นอัมพาตไปแล้ว ฉะนั้นทุกท่านถ้ามีโอกาสควรไปวัดความดันโลหิตอย่างน้อยปีละครั้ง โดยเฉพาะถ้าอายุ 40 ปีขึ้นไป ถ้าความดันโลหิตของท่านสูง วิธีการรักษาง่าย ๆ มีอยู่ 3 อย่าง คือ หนึ่ง ควบคุมการรับประทานอาหาร สอง การออกกำลังกาย และสาม ทานยาตามแพทย์แนะนำ ทั้งโรคความดันโลหิตสูงและเบาหวาน เมื่อเป็นแล้วไม่หายขาด จะต้องได้รับการรักษาไปตลอดชีวิต แต่ชีวิตท่านอาจจะยืนยาวเหมือนไม่เป็นโรค ถ้าท่านดูแลสุขภาพของท่าน
อาการของโรคเบาหวาน คือ ดื่มน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย (ถึงแม้ไม่ดื่มน้ำ) ทานจุแต่ผอม เพราะร่างกายจะปล่อยน้ำตาลออกมาในปัสสาวะ ทำให้ร่างกายต้องปล่อยน้ำ (ปัสสาวะ) ออกมาเพื่อละลายน้ำตาลในปัสสาวะด้วย ถ้ามีอาการบางอย่างดังที่กล่าว โดยเฉพาะถ้าคุณพ่อคุณแม่เป็นเบาหวานควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเลือดดู
แต่ผมอยากให้ประชาชนทุกท่านวางแผนป้องกันการเกิดโรคทั้ง 2 ด้วยวิธีง่าย ๆ คือ ออกกำลังกาย ควบคุมอาหารโดยมีเป้าหมายว่าขอให้ดัชนีมวลกายของแต่ละท่านอยู่ระหว่าง 18.5 - 23 ดัชนีมวลกาย หรือ body mass index, BMI คือ น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมหารด้วยความสูงเป็นเมตรกำลังสอง การออกกำลังกายที่ดีต่อสุขภาพ คือ การเดินเร็ว ๆ วิ่ง ว่ายน้ำ ถีบจักรยาน เต้นแอโรบิก ฯลฯ ครั้งละ 30-60 นาที อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือทุกวันถ้าได้ โดยออกกำลังให้เหงื่อออก (ถ้าอยู่ข้างนอก) หอบเล็กน้อยก็พอแล้ว แต่ถ้าวัดชีพจรได้ก็ให้ชีพจรเต้น 70% ของ (220 - อายุปี ซึ่งก็คือความสามารถสูงสุดที่หัวใจจะเต้นได้) การรับประทานอาหารที่ถูกหลักแบบง่าย ๆ คือ การทานหนักไปทางพืช ผัก ถั่ว เห็ด เต้าหู้ ปลา ไก่ (ไม่กินหนัง) เป็นหลัก ไม่ทานข้าวมาก หลีกเลี่ยงกะทิ หนังสัตว์ มันสัตว์ เครื่องใน ไข่แดง ของหวาน น้ำตาล น้ำหวาน
ถ้าประชาชนทั้งประเทศเพียงแต่คุม BMI ให้อยู่ต่ำกว่า 23 ประเทศไทยจะประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค 2 โรคนี้และโรคอื่น ๆ เป็นแสนล้านบาทต่อปี!
ทุกท่านต้องดูแลตนเองครับ อย่าปล่อยตัวเองแล้วต้องไปพึ่ง "30 บาท" "ประกันสังคม" หรือ "ราชการ" เลยครับ แพงมากและไม่ดีเท่าการไม่เป็นโรคครับ!

ด้วยความปรารถนาดี
นายแพทย์พินิจ กุลละวณิชย์
เลขาธิการแพทยสภา

ไก่ย่าง-หมูปิ้ง-บุหรี่ มหันตภัยของโรคหัวใจ

ไก่ย่าง-หมูปิ้ง-บุหรี่ มหันตภัยของโรคหัวใจ “หมอสุชัย” เปิดสถาบันโรคหัวใจประเดิมเอกซเรย์หัวใจด้วยเครื่องทันสมัย 2 เครื่อง ในไทย ระบุผลตรวจแข็งแรงดียังทำงานได้อีกนาน พร้อมเปิดประชุมวิชาการหมอพยาบาลโรคหัวใจทั่วประเทศ ด้านหมอเชี่ยวชาญหัวใจเผยจำนวนคนไทยป่วยโรคหัวใจทวีคูณรอบสิบปี ชี้เพราะสูบบุหรี่ กินของมันและแป้ง โดยเฉพาะอาหารพื้นเมือง เช่น ไก่ย่าง ข้าวเหนียวหมูปิ้ง อีกทั้งชอบใช้เครื่องทุ่นแรงเป็นเหตุ เตือนหนุ่มนักสูบระวังเป็นโรคหัวใจร้ายแรงไม่ทันตั้งตัว

ศ.นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดสถาบันหัวใจและหลอดเลือดพระรามเก้า ของโรงพยาบาลพระรามเก้า พร้อมเป็นประธานเปิดประชุมวิชาการเกี่ยวกับวิทยาการทางหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งมีแพทย์และพยาบาลในสาขาที่เกี่ยวข้องจากโรงพยาบาลทั่วประเทศกว่า 350 คน มาร่วมประชุม โดย ศ.นพ.สุชัย ได้เข้าเยี่ยมชมสาธิตเครื่องนวดกระตุ้นการทำงานของหัวใจ และได้ทดลองตรวจเส้นเลือดหัวใจและปอดด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูงด้วยตนเองอีกด้วย เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลชี้แจงว่า เครื่องดังกล่าวช่วยให้ประชาชนสามารถตรวจหลอดเลือดหัวใจได้โดยไม่ต้องสวนสายเข้าไปในร่างกายเพื่อฉีดสีตรวจเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจ และมีราคาประหยัดกว่าร้อยละ 50 คือ ประมาณ 20,000 บาท แต่จะมีความแม่นยำประมาณร้อยละ 90 ขณะนี้ประเทศไทยมีเครื่องดังกล่าวอยู่ 2 เครื่อง โดยอีกเครื่องอยู่ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งให้บริการในราคาเท่ากัน ทั้งนี้ ศ.นพ.สุชัย เปิดเผยอย่างอารมณ์ดีภายหลังการตรวจว่า หัวใจของตนยังแข็งแรงดี สามารถทำงานต่อไปได้อีกนาน ส่วนปอดนั้นก็ไม่มีไข้หวัดนก

ด้าน รศ.นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ รองผู้อำนวยการสถาบันหัวใจฯ อาจารย์ประจำหน่วยหัวใจ คณะแพทยศาสตร์ รามาธิบดี และเลขาธิการสมาคมแพทย์โรคหัวใจฯ กล่าวว่า จากสถิติกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตติดอันดับ 1 ใน 4 ของการเสียชีวิตของคนไทย ไม่นับผู้ที่ยังมีอาการเจ็บป่วย เช่น เหนื่อย แน่นหน้าอก ปฏิบัติภารกิจไม่ได้ ก็มีมารักษาตัวมากขึ้นเรื่อยทั้งในโรงพยาบาลเอกชนและโรงพยาบาลรัฐเป็น 2 เท่า ของทศวรรษที่แล้ว

รศ.นพ.สรณ กล่าวอีกว่า สาเหตุสำคัญที่คนไทยเป็นโรคหัวใจ คือ อัตราการสูบบุหรี่ยังไม่ลดลง อาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์มากขึ้น และสังคมเมืองที่คนไม่ค่อยได้ออกกำลังกันเท่าไรนัก คือ ใช้เครื่องทุนแรงอยู่เสมอ เช่น ใช้ลิฟต์แทนบันได ใช้รถยนต์แทนการเดิน ซึ่งอาหารที่มีความเสี่ยงนั้น ได้แก่ อาหารมัน และอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตมาก เช่น หมูสะเต๊ะ ข้าวมันไก่ ข้าวเหนียวหมูปิ้ง โดยจะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินความจำเป็น สิ่งเหล่านี้เมื่อบริโภคเข้าไปแล้วจะเปลี่ยนไปเป็นไขมันที่หน้าท้อง และสะสมเกาะตัวอยู่ที่ผนังหลอดเลือด จนเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ

“การบริโภคก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง เรากินกันมากขึ้น อาหารหาง่าย ร้านสะดวกซื้อเราเยอะ เราซื้อไก่ย่างหรือหมูปิ้งที่ไหนก็ได้ อันนี้ไม่ใช่โรคของตะวันตกที่นำมาให้เรา ไม่ใช่แฮมเบอร์เกอร์หรือฟาสต์ฟู้ด เพราะว่าคนส่วนใหญ่ที่ป่วยในโรงพยาบาลรัฐที่มีจำนวนมากขึ้น ไม่ใช่ผู้ป่วยที่บริโภคสิ่งของเหล่านั้น แต่เป็นคนที่บริโภคสิ่งของพื้นเมือง เช่น ข้าวมันไก่ ไก่ย่าง” รศ.นพ.สรณ กล่าว และว่า อย่างไรก็ตาม ในคนบางกลุ่มที่มีภาวะลักษณะไขมันผิดปกติ เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน แม้จะไม่ได้บริโภคไขมันมาก แต่ไปบริโภคคาร์โบไฮเดรตมาก เช่น กินข้าวคลุกน้ำพริกบ่อย ก็ทำให้ร่างกายได้รับคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล และไตรกลีเซอไรด์มากเกิน และเป็นโรคหัวใจได้เช่นกัน

นอกจากนี้ รศ.นพ.สรณ ยังระบุว่า คนไทยที่ป่วยเป็นโรคหัวใจส่วนใหญ่กว่าจะรู้ตัวว่าป่วยก็เมื่อสายไปแล้ว และมักจะเป็นผู้ที่ไม่คิดว่าตนเองจะเป็นโรคหัวใจ ทั้งนี้ ต่อไปในภาพรวม โรคหัวใจจะเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น การป้องกันโรค ดูแลรักษาโรค และฟื้นฟูสมรรถภาพ แบบองค์รวมอย่างครบวงจรและต่อเนื่องนั้น จึงมีความจำเป็นในปัจจุบัน

“ที่เราเจอบ่อยคือ ผู้ชายอายุ 30-40 ปี ที่สูบบุหรี่ และคิดว่าโรคหัวใจเป็นโรคของคนที่อายุมากและสูบบุหรี่มาก ๆ เอาไว้อายุมากกว่านี้หน่อยค่อยหยุดสูบบุหรี่ ปัจจุบันเราพบว่าคนกลุ่มนี้เป็นโรคหัวใจมากขึ้น และเป็นโรคหัวใจที่เป็นฉับพลันทันที และมักจะเป็นอันตรายค่อนข้างจะร้ายแรง โรคหัวใจในคนสูงอายุมักจะมีอาการที่เตือน เช่น อาการแน่นหน้าอกเตือน แต่ในคนวัยหนุ่มที่สูบบุหรี่มักจะไม่มีอะไรเตือน และมักเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิต กว่าจะรู้ว่าเป็นก็ต้องมานั่งฟื้นฟูสมรรถภาพกันแล้ว เพราะเสียกล้ามเนื้อหัวใจไปส่วนหนึ่ง” รศ.นพ.สรณ กล่าว

banana

ถ้าต้องการให้ระดับพลังงาน ที่หย่อนยานลงให้กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีอาหารว่างใดดีไปกว่า กล้วย อุดมด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด
คือ
ซูโครส ฟรุคโทส และ กลูโคส รวมกับเส้นใยและกากอาหาร กล้วยจะช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายทันทีทันใด จากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอ กับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที จึงไม่น่าแปลกใจที่กล้วยเป็นผลไม้อันดับหนึ่งของนักกีฬาชั้นนำระดับโลก ไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้นยังช่วยเอาชนะ และป้องกันโรคต่าง ๆ ที่จะเกิดกับร่างกายได้อีกหลายโรค จึงควรรับประทานทุกวัน

1. โรคโลหิตจาง ในกล้วยมีธาตุเหล็กสูงจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด และจะช่วยในกรณีที่มีสภาวะขาดกำลัง หรือภาวะโลหิตจาง

2. โรคความดันโลหิตสูง มีธาตุโปรแตสเซียมสูงสุด แต่มีปริมาณเกลือต่ำ ทำให้เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่จะช่วยความดันโลหิตมาก อย.ของอเมริกา ยินยอมให้อุตสาหกรรมการปลูกกล้วยสามารถ โฆษณาได้ว่า กล้วยเป็นผลไม้พิเศษช่วยลดอันตรายอันเกิดจากเรื่องความดันโลหิตหรือโรคเส้นเลือดฝอยแตก

3. กำลังสมอง นักเรียน 200 คน ที่โรงเรียน Twickenham ได้รับผลดีจากการสอบตลอดปีนี้ ด้วยการรับประทานกล้วย ในมื้ออาหารเช้า ตอนพัก และมื้ออาหารกลางวันทุกวัน เพื่อช่วยส่งเสริมกำลังของสมองในพวกเขา จากงานวิจัยแสดง ให้เห็นว่าปริมาณโปรแตสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในกล้วยสามารถให้นักเรียนมีการตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น

4. โรคท้องผูก ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ ปัญหาโรคท้องผูกโดยไม่ต้องกินยาถ่ายเลย

5. โรคความซึมเศร้า จากการสำรวจเร็ว ๆ นี้ ในจำนวนผู้ที่มีความทุกข์เกิดจากความซึมเศร้าหลายคนจะมี ความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังการกินกล้วย เพราะมีโปรตีนชนิดที่เรียกว่า try potophan เมื่อสารนี้เข้าไปในร่างกายจะ ถูกเปลี่ยนเป็น serotonin เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวผ่อนคลายปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ คือทำให้เรารู้สึกมีความสุขเพิ่มขึ้นนั่นเอง

6. อาการเมาค้าง วิธีที่เร็วที่สุดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือ การดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้ กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไปในขณะที่นมก็ช่วย ปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา

7. อาการเสียดท้อง กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้าปัญาเกี่ยวกับอาการเสียด ท้อง ลองกินกล้วยสักผล คุณจะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้

8. ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า การกินกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหาร จะรักษาระดับน้ำตาลใน เส้นเลือดให้คงที่ เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า

9. ยุงกัด ก่อนใช้ครีมทาแก้ยุงกัด ลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด มีหลายคนพบอย่าง มหัศจรรย์ว่า เปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้

10. ระบบ ระสาท ในกล้วยมีวิตามินบี สูงมาก ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได้ โรคน้ำหนักเกินและโรคที่ เกิดในที่ทำงาน จากการศึกษาของสถาบันจิตวิทยาในออสเตรียค้นพบว่า ความกดดันในที่ทำงานเป็นเหตุนำไปสู่ การกินอย่างจุบจิบ เช่นอาหารพวกช็อคโกแล็ต และอาหารประเภททอดกรอบต่าง ๆ ในจำนวนคนไข้ 5,000 คน ในโรงพยาบายต่าง ๆ นักวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นโรคอ้วนมากเกินไป และส่วนใหญ่ทำงานภายใต้ความกดดันสูง มาก จากรายงานสรุปว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการตื่นตระหนกและนำไปสู่การกินอาหารอย่างบ้าคลั่ง เราจึงต้องควบคุม ปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด ด้วยการกินอาหารว่างที่มีปริมาณคาร์โบโฮเดรตสูง เช่น กินกล้วยทุก 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา ไม่ต้องคำนึงถึงเรื่อยยา การกินกล้วยที่มีวิตามินบี 6 ซึ่งประกอบด้วย สารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ได้

11. โรคลำไส้เป็นแผล กล้วยเป็นอาหารที่แพทย์ใช้ควบคุม เพื่อต้านทานการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะ เนื้อของกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดี เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรค ลำไส้เรื้อรัง และกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคือง และยังไปเคลือบผนังลำไส้และ กระเพาะอาหารด้วย

12. การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ในวัฒนธรรมของหลายแห่งเห็นว่ากล้วย คือผลไม้ที่สามารถทำให้ อุณหภูมิเย็นลงได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ที่ชอบคาดหวัง ตัวอย่างในประเทศไทย จะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์รับประทานกล้วยทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่า ทกรกที่เกิดมา จะมีอุณหภูมิเย็น

เคล็ดลับเพื่อสุขภาพ

อาหารเช้าคือมื้อที่สำคัญที่สุด
ในสังคมปัจจุบันนี้เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ที่คนส่วนใหญ่มิได้ให้ความสำคัญกับอาหารเช้า เนื่อง จากต้องเร่งรีบแข่งกับเวลาเพื่อไปเรียนหรือไปทำงาน คนไทยเราจะให้ความสำคัญกับอาหารเย็น เน้นว่าเป็นมื้อที่ต้องรับประทานอาหารหนักๆ มากกว่ามื้อกลางวัน ส่วนมื้อเช้านั้นบางคนข้ามไปเลย บางคนก็ดื่มกาแฟเพียง 1 ถ้วยเท่านั้น สังเกตให้ดีจะพบว่าคุณจะรู้สึกไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่าถ้ามื้อเช้าคุณไม่ได้ให้สารอาหารที่ร่างกายต้องการ คืออาหารโปรตีนสูงและไขมันอย่างพอเพียง อาหารเช้าที่หนักเกินไปก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ร่างกายต้องการเพียงสารอาหารที่ครบถ้วนในปริมาณไม่มากนัก เพื่อที่คุณจะได้มีกำลังวังชา สมองปลอดโปร่ง กระปรี้กระเปร่า พลังงานจะอยู่ในร่างกายคุณเป็นเวลานานและทำให้คุณไม่หิวบ่อยถ้าได้รับประทานอาหารเช้าที่ดี อาหารเย็นไม่ควรเป็นมื้อหนักสำหรับคุณ เพราะคุณอาจยังไม่รู้สึกหิวในมื้อเช้า


แก้อาการแสบกระเพาะอย่างไร
โรคกระเพาะอาหารนั้นมีอาการปวดท้องและแสบกระเพาะซึ่งเป็นเรื่องแสนทุกข์ทรมานอย่าง ยิ่งสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหาร วิธีง่ายๆ ที่คุณสามารถบำบัดเยียวยาอาการปวดแสบนั้นให้หายไปได้ก็คือ รับประทานอาหารแต่ละมื้อแต่ละวันเพียงเล็กน้อยพออิ่ม อย่ารับประทานมากๆ เพียงเพื่อความอร่อยเท่านั้น โดยเฉพาะอาหารเปรี้ยวจัด เค็มจัด เผ็ดจัด ควรงดเด็ดขาด การรับประทานกล้วยกับน้ำผึ้งหรือรับประทานเนยถั่วก็เป็นเมนูพิเศษที่ดีสำหรับป้องกันอาการปวดแสบหรือแสบเกี่ยวกับแผลในกระเพาะ แต่ไม่จำเป็นต้องรับประทานมากๆ เพียงครั้งคราวก็พอแล้ว หัวใจสำคัญอยู่ที่การรับประทานอาหารน้อยๆ เท่านั้นเอง และมีอีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการแสบกระเพาะได้ด้วยเช่นกัน นั่นก็คือการสูบบุหรี่ ซึ่งคุณควรเลิกทันทีตั้งแต่เริ่มเป็นโรคกระเพาะ


คุณแม่คนใหม่ไม่ควรแตะต้องบุหรี่และแอลกอฮอล
์ เมื่อคุณผู้หญิงตั้งครรภ์แล้ว การเตรียมตัวเป็นคุณแม่คนใหม่ที่ควรกระทำเป็นอันดับแรกก็คือ เลิกสูบบุหรี่ และเลิกดื่มเหล้า เบียร์ ไวน์ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด คุณรู้ไหมว่าลูกน้องที่เกิดมาจากคุณแม่ผู้สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์นั้นจะมีน้ำหนักตัวที่น้อยกว่าปกติ นอก จากนั้นยังมีผลกระทบถึงพฤติกรรมในเวลาต่อมา เช่น จะเป็นเด็กที่ตื่นตกใจง่าย เวลาร้องไห้ก็จะมีเสียงสั่นและแหลม การขยับแขนขาค่อนข้างรุนแรงกว่าในระดับปกติ


กินวิตามินซี ห่างไกลอาการเลือดออกตามไรฟัน
ถ้าช่วงใดที่คุณพบว่ามีเลือดออกตามไรฟันในขณะแปรงฟัน ตอนเช้าหรือก่อนนอน หรือบาง ครั้งก็มีเลือดออกมาตามไรฟันทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อยู่ในช่วงแปรงฟัน คุณจะต้องตระหนักทันทีว่าร่างกายขาดวิตามินซีแล้วในช่วงนั้น การเติมวิตามินซีให้ร่างกายอย่างพอเพียงนั้นก่อนอื่นคุณต้องรู้ว่าคนเราต้องการวิตามินซีมากน้อยเท่าใดในแต่ ละวัน สำหรับวัยผู้ใหญ่ควรได้วิตามินซีวันละ 40 มิลลิกรัม เด็กๆ ต้องการวิตามินซีประมาณ 30 มิลลิกรัม คนเราจะต้องกินอาหารที่มีวิตามินซีให้พอเพียงทุกๆ วัน เพราะวิตามินซีจะไม่ได้ถูกร่างกายเก็บสะสมไว้ แต่จะขับถ่ายออกมาทางปัสสาวะ ถ้าคนเรากินวิตามินซีมากเกินกว่าที่ร่างกายจะนำไปใช้ ดังนั้นคุณต้องกินวิตามินซีทุกๆ วัน ไม่ใช่กินวันนี้มากๆ เผื่อวันอื่นๆด้วย เพราะไม่ว่าจะกินมากอย่างไรร่างกายก็ดูดซึมไปไม่หมดแน่ แต่การกินวิตามินซีมากๆ นั้นไม่มีอันตรายใดๆ ต่อร่างกาย ยิ่งจะมีประโยชน์ด้วยสำหรับการขับถ่าย โดยเฉพาะถ้าคุณกินวิตามินซีจากแหล่งอาหารอย่างผักและผลไม้ ถ้าคุณรับประทานมะม่วงดิบ 100 กรัม ก็จะได้วิตามินซีประมาณ 60 มิลลิกรัมอย่างสบายๆ


กระเทียมดูแลหัวใจ
กระเทียมเป็นของคู่ครัวที่คนไทยเราคุ้นเคยกันดี แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าในกระเทียมนั้นมีสาร อาหารสำคัญมากมายมหาศาลที่ล้วนแล้วแต่มีสรรพคุณทางยาอย่างน่าอัศจรรย์ กระเทียมช่วยป้องกันอาการหัวใจล้มเหลว ช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ บำรุงประสาท กระตุ้นให้จิตใจสดใส ไม่หดหู่ ซึมเศร้า ไม่เป็นโรคเหน็บชา กล้ามเนื้อแข็งแรง มีกำลังวังชา กระตุ้นให้ร่างกายเกิดความอยากอาหาร เยียวยาอาการไอ รักษาโรคพยาธิ ขับปัสสาวะ ช่วยบำรุงระบบทางเดินหายใจ บรรเทาอาการที่เกี่ยวกับโรคลำไส้ บำรุงเลือด ป้องกันโรคตับ โรคเส้นโลหิตตีบตัน บำบัดอาการโรครูมาติซึม โรคข้ออักเสบ ต้านทานโรคภูมิแพ้ ช่วยลดคอเลสเตอรอล นอกจากนั้นกระเทียมยังรักษาโรคเกี่ยวกับผิวหนังได้อีกด้วย ถ้าคุณรับประทานกระเทียมสม่ำเสมอโรคภัยอันตรายต่างๆ จะไม่มากล้ำกรายร่างกายทำลายสุขภาพของคุณ ได้แน่นอน กระเทียมช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย คนที่มีไขมันอุดตันในเส้นเลือดมากอาจเกิดการหัวใจวายได้ การรับประทานกระเทียมเป็นประจำเท่ากับว่าคุณได้ดูแลหัวใจของคุณให้แข็งแรงไว้ก่อนที่จะมีอาการใดๆ เกิดขึ้น


เมื่อไร้เรี่ยวแรง หน้ามือ วิงเวียน แก้ไขรวดเร็วได้อย่างไร
เมื่อคุณทำงานหนักอย่างต่อเนื่องหรือออกกำลังกายอย่างหักโหมคุณจะรู้สึกตัวสั่น หน้ามืด เหมือนจะเป็นลม หรือรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แสดงว่าขณะนั้นภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำลง คุณสามารถฟิตสภาวะของร่างกายให้สดชื่นขึ้นมาได้อย่างทันทีทันใดด้วยการรับประทานน้ำส้มคั้นสดๆ สัก แก้ว ซึ่งเป็นทางออกที่ถูกต้องและมีประโยชน์มากกว่าดื่มน้ำผสมกลูโคสหรือเครื่องดื่มที่ผสมสารรสหวานใดๆ อาหารประเภทบะหมี่ ก๋วยเตี๋ยว ข้าว ขนมปัง ถั่วต่างๆ ผักสดและผลไม้สดๆ ทุกชนิด จะนำพลังและความสดชื่นมาสู่ร่างกาย นำน้ำตาลสู่สมองของคุณอย่างถูกต้องและปลอดภัย ได้ผลเร็วกว่าการดื่มเครื่องดื่มผสมน้ำตาลที่เรามักเข้าใจผิดกันมาโดยตลอด


น้ำมันตับปลา อาหารเสริมที่น่าสนใจ
เรามักเข้าใจว่าน้ำมันตับปลาเป็นอาหารเสริมที่เหมาะสำหรับเด็กๆ เท่านั้น แต่ความจริงแล้วแม้ แต่คนในวัยหนุ่มสาวและผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุก็สมควรสนใจอาหารเสริมตัวนี้อย่างจริงจังเช่นกัน น้ำมันตับปลาช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง กระตุ้นให้การเผาผลาญในร่างกายเป็นไปอย่างดีเยี่ยม เด็กๆ หรือ ผู้ใหญ่ที่เริ่มที่จะผอมแห้งแรงน้อย เจ็บป่วยง่าย ร่างกายขาดสารอาหาร ก็ควรรับประทานน้ำมันตับปลา ซึ่งปัจจุบันก็มีรสต่างๆ เพื่อให้รับประทานได้ง่าย และมีชนิดแคปซูลอีกด้วย


หอมหัวใหญ่ไม่ใช่ตัวประกอบ
ในอาหารจานต่างๆ ที่มีหอมหัวใหญ่ประกอบอยู่ด้วยนั้นส่วนใหญ่ดูเหมือนว่ามันเป็นเพียงตัว ประกอบที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารจากนั้น มิได้เป็นตัวเด่นตัวเอกแต่อย่างใด แต่แท้จริงแล้วหอมหัวใหญ่เป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุสำคัญๆ มากมายเช่น แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินซี เอ บี1 และบี2 โดยเฉพาะ "กำมะถัน" คือแร่ธาติสำคัญที่จะบันดาลผิวพรรณอันเปล่งปลั่งสดใสให้กับคุณได้อย่างวิเศษ ซึ่ง มีกำมะถันในหอมหัวใหญ่มากมายทีเดียว ถ้าคุณรับประทานหอมหัวใหญ่สม่ำเสมอผิวพรรณของคุณจะดูผุดผ่อง มีสีเลือดฝาด บ่งบอกถึงสุขภาพที่ดีของผิวความเนียนละมุนละไมจะเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หอมหัวใหญ่ทำให้คุณขับถ่ายสะดวกสบายและยังทำให้นอนหลับได้ง่ายแบบสบายๆ อีกด้วย คนที่เป็นหวัดง่ายหรือแพ้อากาศก็ควรรับประทานหอมหัวใหญ่เสมอๆ ซุปมันฝรั่งใส่หอมหัวใหญ่ ไข่เจียวหอมหัวใหญ่ ยำต่างๆ สลัดต่างๆ เหล่านี้คือเมนูหอมหัวใหญ่ที่คุณควรใส่ใจ


มะเขือเทศอาหารวิเศษเพื่อสุขภาพ
มะเขือเทศฝานบางๆ สีแดงอมส้มสดใสน่ากินมักกลายเป็นเครื่องประดับอาหารจานอร่อย หลากหลายรายการ เป็นต้นว่าข้าวผัด ยำต่างๆ ของทอดของว่างต่างๆ โดยที่บางท่านไม่แตะต้องมันเลยสักชิ้น แต่คุณรู้บ้างไหมว่าถ้าคุณรับประทานมะเขือเทศเพียงวันละ 1-2 ลูกเท่านั้น จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายของ คุณมากมายมหาศาลเพียงใด ต้านโรคความดันโลหิตสูง บำรุงดวงตา บำรุงสายตา บำบัดอาการปัสสาวะขัด บำรุงเหงือกและฟัน ป้อง กันหลอดเลือดแข็งตัว เยียวยาโรคเลือดออกตามไรฟัน ต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ คุ้มกันไม่ให้เป็นหวัดง่าย แก้ท้องผูก บำรุงผิวพรรณ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้…ถ้าคุณรับประทานมะเขือเทศเป็นประจำสม่ำเสมอ วันละ 1-2 ลูกทุกวัน สุขภาพของคุณก็จะสดชื่นแข็งแรง และได้ประโยชน์จากสรรพคุณอันแสนวิเศษของมะเขือเทศทั้งหมดนั้นอย่างแน่นอน


อายุมากไม่ควรกินยามาก
เมื่อคนเรามีอายุสูงขึ้นความเจ็บไข้ได้ป่วยมักจะมาเยือนอยู่บ่อยๆ คนที่มีอายุมากขึ้นจึงหลีก เลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องรับประทานยานานาชนิดอยู่เป็นประจำ แต่มีความจริงข้อหนึ่งที่เรายังไม่ตระหนักกันว่ายาบางชนิดที่คนสูงอายุต้องรับประทานเข้าไปบ่อยๆ หรือทุก วี่ทุกวันนั้นกลับไปทำให้คนสูงอายุตกอยู่ในสภาวะที่ร่างกายขาดสารอาหาร ยาบางชนิดจะขับวิตามินและแร่ธาตุสำคัญออกไปจากร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี วิตามินเค ไนอาซิน และปริมาณสังกะสี แมกนีเซียม โพรแทสเซียม ก็จะลดลงไปไม่น้อยอีกด้วย มียาอีกหลายชนิดที่แม้จะมีสรรพคุณเยียวยารักษาโรคหรืออาการบางอย่างได้ดีแต่ก็มีสารที่ไปทำลายสมองของผู้ป่วย โดยเฉพาะยาของคนป่วยเป็นโรคความดันโลหิตโรคพิษสุรา โรคเกี่ยวกับจิตประสาท มักมีสารที่กระทบกระเทือน ทำให้สมองไม่คึกคักสดชื่นและระบบการเผาผลาญในร่างกายทำงานได้อย่างไร้ประสิทธิภาพ ดังนั้นถ้าลดการรับประทานยาประเภทระงับอาการต่างๆ ลงไปได้บ้างก็จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพของคนอายุมากอย่างแน่นอน


กินแมงกานีสวันละหน่อย ไม่ปวดหลัง ไม่ขี้ลืม ไม่เซื่องซึม
ถ้าร่างกายขาดแมงกานีสคุณจะรู้สึกว่าความจำไม่ค่อยดี ขี้หลงขี้ลืม หรืออาจมีอาการปวดหลัง ข้อกระดูกสันหลังเสื่อม การย่อยอาหารก็ทำงานอย่างขาดประสิทธิภาพ แต่ถ้าร่างกายได้แมงกานีสอย่างพอเพียงกล้ามเนื้อของคุณจะมีการยืดตัวหดตัวดีเยี่ยม ไม่ปวดหลัง ความ เซื่องซึมอ่อนเปลี้ยเพลียแรงก็จะหมดสิ้นไป ความจำดี ไม่มีอาการขี้ลืมง่ายๆ ลดอาการระคายเคืองทางประสาท นอกจากนั้นคนที่ป่วยเป็นโรคลมบ้าหมูก็สามารถมีอาการดีขึ้นได้ถ้ารับประทานแมงกานีสอย่างพอเพียง แหล่งอาหารที่อุดมด้วยแมงกานีส คือ ถั่วต่างๆ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่วทอด นม เนย ไข่ เนื้อสัตว์ ผักและผลไม้


ลองรับประทานรำข้าว เพื่อบำรุงร่างกายบ้าง
รำข้าวเป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์มาก โปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ต่างๆ ที่มี อยู่ในรำข้าว มีดังนี้ วิตามินบี1 บี2 บี3 บี5 บี6 กรดโฟลิก ไบโอติน วิตามินอี โซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ทองแดง สังกะสี กำมะถัน และคลอไรด์ คุณอาจลองรับประทานรำข้าวด้วยการผสมกับนมสด 1 แก้ว ดื่มทุกวันหรือหุงปนกับข้าวต้ม ข้าวสวย นำไปปรุงร่วมกับอาหารบางอย่างก็ได้ เช่น ไข่เจียวหรือผัดต่างๆ รำข้าวจะช่วยทำให้คุณหมดปัญหาในการขับถ่าย ช่วยป้องกันโรคนิ่ว โรคเกี่ยวกับลำไส้


เห็ดหอมอัศจรรย
์ คุณประโยชน์มหาศาลที่เห็ดหอมจะบันดาลให้แก่สุขภาพของคนเราก็คือ บำรุงสมอง เพิ่มความสดชื่นคึกคัก ลดคอเลสเตอรอล ช่วยในระบบย่อยอาหาร ป้องกันหลอดเลือดแดง แข็งตัว ต้านมะเร็ง รักษาหอบหืด ลดความเครียด ต้านไวรัส บำรุงระบบประสาท ช่วยให้หลับง่าย บำรุงปอด บำรุงหลอดลม ชะลอความชรา ฯลฯ คุณควรบำรุงสุขภาพด้วยการนำเห็ดหอมมาปรุงอาหารทุกๆ สัปดาห์เป็นประจำ โดยนำมาปรุงเป็นอาหารจานผัดๆ ต้มๆ แต่ไม่ควรรับประทานในปริมาณมากจนเกินไป


ผมหงอกก่อนวัยกินอาหารช่วยได
้ เมื่อคุณมีเส้นผมบางส่วนที่หงอกขาวทั้งๆ ที่อายุยังไม่มากนัก คุณแก้ไขด้วยการย้อมสีผมซึ่งจะ ช่วยได้ดีพอควร แต่ก็ต้องย้อมกันเป็นประจำตลอดไปแน่นอน อาหารบางอย่างมีคุณสมบัติช่วยบำรุงเส้นผม เล็บมือ และผิวของคนเราอย่างได้ผล เส้นผมหงอกนั้นเป็นเพราะขาดทองแดง กรดโฟลิก กรดแพนโทเทนิก และพาบา คุณสามารถแก้ไขเส้นผมที่หงอกขาวให้กลับมาดำสนิทดังเดิมได้ด้วยการรับประทานโยเกิร์ต ตับ และยีสต์ โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องรับประทานปริมาณมากๆ ทุกมื้อและทุกๆ วันอย่างสม่ำเสมอ


คนสายตาสั้น ควรสนใจวิตามินใดบ้าง
อย่าคิดว่าเมื่อสายตาสั้นแล้วก็จะต้องสั้นมากขึ้นเรื่อยๆ เสมอไป เนื่องจากว่าเซลล์ประสาทตานั้นจะไม่เสื่อมลงไปถ้าได้รับการบำรุงที่ดี โดยมากเราจะเคยได้รู้เพียงว่าคนที่รับ ประทานวิตามินเอเป็นประจำสม่ำเสมอจะมีดวงตาสวย สายตาดี เพราะวิตามินเอเกี่ยวข้องกับสายตาโดยตรงอยู่แล้ว แต่ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ค้นคว้าพบว่าวิตามินบี1 และวิตามินอีมีคุณสมบัติช่วยบำรุงเรื่องตาของคนเราได้เป็นอย่างดี การขาดวิตามินอีทำให้จอรับภาพของตาเสื่อม การขาดวิตามินบี1 ประสาทที่ทำหน้าที่นำภาพไปสู่สมองก็จะเกิดผิดปกติ มีผลทำให้ประสาทเสื่อม อาหารที่เป็นแหล่งวิตามินอี และ บี1 ที่ดี ได้แก่ ตับ นม ถั่วลิสง ถั่วต่างๆ ไข่แดง ข้าวซ้อมมือ เต้าหู้ เนื้อหมู งา กระเทียม และสาหร่าย


เลซิติน บำรุงหัวใจ บำรุงประสาท
แหล่งอาหารที่มีเลซิติน ได้แก่ ตับ เนื้อวัว ไข่ เนยแข็ง ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลีเป็นต้น เลซิตินจะให้ประโยชน์แก่ร่างกายในการบำรุงสมองอย่างดีเยี่ยมที่สุด นอกจากนั้นยังช่วยละลายไขมันในหลอดเลือด ช่วยบำรุงประสาท เพราะเลซิตินเป็นส่วนประกอบของแผ่น เนื้อเยื่อบางๆ ที่หุ้มรอบเส้นใยประสาทและยังเป็นตัวที่จำเป็นต้องการสร้างสารเคมีบางอย่างในระบบประสาท ผิวพรรณของคุณจะสดใส มีน้ำมีนวล ปราศจากรอยด่างดำ ริ้วรอยจุดกระต่างๆ รอยดำคล้ำรอบขอบตาจะหมดไป เลือดลมดี ไม่เหนื่อยง่าย อารมณ์แจ่มใส ก็ด้วยเลซิตินซึ่งมีอยู่มากเป็นพิเศษในถั่วเหลือง


น้ำผึ้งก็เป็นยาอายุวัฒนะ
สารอาหารสำคัญๆที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในน้ำผึ้งก็คือ โปรตีน วิตามินบี1 บี2 บี5 และบี12 ไบโอติน เหล็ก ทองแดง แมงกานีส ซิลิคอน แคลเซียม โซเดียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส กำมะถัน โบรมีน และคลอรีน น้ำผึ้งมีสรรพคุณทางยา ช่วยบำรุงร่างกายให้กระปรี้กระเปร่า แข็งแรง สดชื่น เพิ่มพลัง แก้เบื่ออาหาร บำรุงหัวใจ บำรุงข้อต่างๆ ช่วยให้นอนหลับสบาย น้ำผึ้งจัดเป็นอาหารเสริมที่ดีที่คุณควรสนใจ หมั่นรับประทานเป็นประจำทุกๆ สัปดาห์ก็จะช่วยบำรุงร่างกายให้มีสุขภาพดีอย่างที่คุณพิสูจน์ได้


ตาสว่าง สมองโลดแล่น ด้วยสะระแหน
่ ในอาหารจานยำหรือจานผัดที่มีสะระแหน่โรยมาด้วยนั้นคุณควรจะรับประทานมากๆ เพราะ สะระแหน่ใบเล็กๆ กลิ่นแรงๆ นี่แหละมีคุณค่าสารอาหารไม่ธรรมดาเลยทีเดียว สะระแหน่มีเมนทอลและน้ำมันหอมระเหย จึงช่วยกระตุ้นปลายประสาทผิวหนัง ช่วยขับเหงื่อ ลดคลาย อาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ แก้อาการเป็นหวัดคัดจมูก แก้ร้อนใน บำรุงสมองให้ปลอดโปร่งและช่วยให้ตาสว่าง คึกคักสดชื่น ไม่ง่วงซึม


เป็นสิวต้องใส่ใจสุขภาพทั้งหมด
คนส่วนใหญ่เมื่อเป็นสิวแล้วมักจะสนใจดูแลแก้ไขปัญหาสิวเฉพาะที่ผิวหน้าเท่านั้น ซึ่งความ จริงแล้วสาเหตุที่เกิดสิวมาจากการไม่ดูแลสุขภาพของตัวเองนั้นเอง ถ้าคุณมีพฤติกรรมใดต่อไปนี้ นั่นล่ะคือปัจจัยสำคัญที่นำสิวมาสู่ใบหน้าของคุณ อดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก รับประทานอาหารรสหวานจัดหรือมันจัด ติดกาแฟ ชา เหล้า เบียร์ น้ำอัดลม และบุหรี่ รับประทานอาหารที่ปนเปื้อนสารเคมี เช่น ของหมักดอง อาหารกระป๋อง รับประทานอาหารเร่งรีบ ไม่เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน ไม่ค่อยรับประทานผักสดๆ ผลไม้สดๆ จนถ่ายไม่เป็นเวลา หรือท้องผูก ดังนั้นหากคุณเลิกนิสัยดังกล่าวนี้แล้วรับประทานแต่ผักสด ผลไม้ อาหารรสไม่หวานจัด เลิกขนม ของ หวาน น้ำอัดลมต่างๆ การรักษาด้วยการล้างหน้าบ่อยๆ คุณจะได้ผลที่น่าพอใจแน่นอน


เรื่องของไข
่ สำหรับคนในวัยหนุ่มสาวและวัยผู้ใหญ่ไม่ควรรับประทานไข่เกิน 2 ฟองต่อ 1 สัปดาห์ เนื่อง จากการรับประทานไข่มากจะทำให้มีคอเลสเตอรอลมากเกินไปในกระแสเลือด แต่ในไข่ก็ยังมีสารอาหารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหากรับประทานแต่น้อย คนป่วยที่เพิ่งฟื้นไข้ คนที่ต้องการเรี่ยวแรงกำลังวังชา คนป่วยเป็นโรคโลหิตจาง ล้วนแล้วแต่ต้องการไข่เพื่อ บำรุงสมอง บำรุงร่างกายให้แข็งแรง แม้แต่คนที่ต้องใช้เสียง เมื่อเสียงแหบแห้งเพียงรับประทานไข่ดิบเพียง 1 ฟองก็จะช่วยให้เสียงใส ไม่แหบแห้งได้ในช่วงนั้น ไข่แดงช่วยให้เด็กๆ แข็งแรง โตเร็ว ไข่ขาวพอกหน้าช่วยบำรุงรักษาสิว ลดความมันบนใบหน้าคนหนุ่มสาวอย่างได้ผลดีอีกด้วย


จัดเมนูมันเทศสัปดาห์ละครั้ง
มันเทศต้มเป็นอาหารเสริมสุขภาพที่แสนวิเศษ แต่ถ้าจะให้รับประทานทุกวันคุณคงเบื่อแน่นอน ดังนั้นอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้งที่ควรมีมันเทศอยู่ในมื้อใด มื้อหนึ่ง อาจต้มมันเทศเป็นอาหารว่างหรือต้ม มันเทศผสมในข้าวต้มบ้างก็ได้ การรับประทานมันเทศเป็นประจำจะช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง การขับถ่ายเป็นไปอย่างราบรื่น คนที่ผอมแห้งก็สามารถเพิ่มน้ำหนักได้ด้วยการรับประทานมันเทศเป็นประจำ แต่คนที่มีน้ำหนักตัวเกินพอดีควรรับประทานแต่เพียงเล็กน้อย จะได้ไม่แน่นท้องเกินไปนัก


บำรุงเลือดด้วยการกินธาตุเหล็ก
ธาตุเหล็กนั้นจำเป็นต่อสุขภาพของคุณอย่างมาก เพราะถ้าเมื่อใดก็ตามที่คุณปล่อยให้ร่างกาย ขาดสารอาหารสำคัญตัวนี้ร่างกายก็จะไม่สามารถสร้าสร้างเซลล์เม็ดเลือดได้พอเพียง คุณควรจัดเมนูอาหารที่มีธาตุเหล็กในแต่ละมื้อแต่ละวันอย่างสม่ำเสมอ อาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กก็คือ ตับสัตว์ เครื่องในไก่ แครอท ฟักทอง เมล็ดฟักทอง มันฝรั่ง ถั่วเหลือง มะเขือเทศ กะหล่ำปลี บรอคเคอรี่


อาหารต้านความเศร้า
อารมณ์ซึมเศร้า หดหู่ หม่นหมอง สามารถทำให้คลายจางลงไปได้ด้วยการรับประทานอาหาร ที่อุดมไปด้วยเซเลเนียม เช่น หอยนางรม ปลาทูน่า ไก่งวง นม ซึ่งมีกรดโฟลิก เมื่อรับประทานอาหารเหล่านี้แล้วจะช่วยให้คุณมีอารมณ์แจ่มใส ไม่หงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย เนื่องจากว่าการขาดกรดโฟลิก สารทริบโตแฟน มีผลให้เกิดความแปรปรวนในอารมณ์และอาการทางจิต ประสาทได้นั่นเอง


ถั่วสลายความเครียด
สภาวะที่แวดล้อมในปัจจุบันนี้ดูเหมือนว่ามีปัจจัยมากมายที่ก่อให้เกิดความเครียดได้ไม่ยาก และความเครียดที่เกิดขึ้นแล้วนั้นไม่ใช่จะทำให้คุณกลายเป็นคนหน้านิ่วคิ้วขมวดและอารมณืบูดจนไม่น่าเข้า ใกล้เท่านั้น แต่ความเครียดมีผลกระทบอย่างจริงจังต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของคุณ นอกจากการออกกำลังกายและการพักผ่อนแล้วการดูแลเรื่องอาหารในช่วงที่รู้สึกเครียดก็ช่วยคลายความกด ดันได้เป็นอย่างดี อาหารที่จะพิชิตความเครียดได้ก็คืออาหารที่มีวิตามินบีสูง และมีแมงกานีสสูง เช่น อะโวคาโด สตรอเบอรี่ ส้ม ถั่วฝักยาว ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วลิสง โดยเฉพาะ "ถั่ว" ชนิดต่างๆ คือพระเอกที่จะขจัดปัดเป่าความเครียดให้หมดสิ้นไปได้อย่างง่ายดาย


เนื้อสัตว์ไม่ใช่อาหารจำเป็นของคน
นี่คือความจริงข้อใหม่ที่อาจจะดูขัดแย้งกับสิ่งที่พวกเราได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ว่า โปรตีนคืออาหาร 1 ใน 5 หมู่ที่ร่างกายต้องการ และแหล่งโปรตีนที่ดีคือเนื้อสัตว์ แต่แท้จริงแล้วร่างกายของคนเราต้องการโปรตีน มิใช่ต้องการเนื้อสัตว์ คุณสามารถได้โปรตีนจากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ใหญ่ เช่น จากผักทุกชนิดที่มีใบเขียวจัด และเนื้อสัตว์ อย่าง ปลา หอย กุ้ง ซึ่งทำให้คุณได้โปรตีนพอเพียงกับความต้องการของร่างกายและดีกว่าเนื้อสัตว์ประเภทเนื้อวัวและเนื้อหมูที่ทำให้ระบบย่อยอาหารต้องทำงานหนักขึ้น และถ้ารับประทานมากเกินไปโปรตีนที่เหลือเป็นส่วนเกินจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันและน้ำตาลเก็บไว้ในร่างกาย มีผลทำให้คุณอ้วนขึ้นนั่นเอง และนอกจากนั้นถ้าคุณรับประทานเนื้อวัวและเนื้อหมูมากๆ กระบวนการย่อยก็ต้องทำงานหนักขึ้นเพราะต้องขับสารพิษหลายตัวที่เกิดจากการย่อยให้ออกไปจากร่างกาย จะทำให้แร่ธาตุต่างๆ อีกหลาย ตัวถูกขับออกมาด้วย น้ำในตัวคุณก็จะระเหยไปมาก มีผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรงแน่นอน


กินบะหมี่บ่อยๆ อร่อยแล้วสุขภาพดีแน
่ คนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักจนงดรับประทานข้าวเพราะอ้างว่าต้องการงดคาร์โบไฮเดรตที่จะ ทำให้อ้วนได้ไม่แพ้ไขมันนั้นควรอย่างยิ่งที่จะรับประทานอาหารบะหมี่บ้าง เพราะบะหมี่เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ยอดเยี่ยมพอๆ กับก๋วยเตี๋ยว สปาเกตตี มะกะโรนี และโรตี คุณสามารถรับประทานได้บ่อยๆ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะอ้วนเพราะบะหมี่เป็นคาร์โบไฮเดรตละเอียด มีคุณสมบัติย่อยง่ายกว่าคาร์โบไฮเดรตชนิดธรรมดา


กลูโคส เกลือแร่ เพิ่มพลังงานจริงหรือ
คุณเคยพบว่ามีโฆษณาเครื่องดื่มประเภทกลูโคสหรือเกลือแร่มากมายหลายยี่ห้อที่เน้นสรรถคุณ ว่าให้พลังงาน เหมาะสำหรับผู้ที่ร่างกายสูญเสียเกลือและโพแทสเซียม ไปกับเหงื่อในขณะที่ออกแรงมากๆ หรือพวกนักกีฬา เป็นต้น แต่ความจริงแล้วถ้าคุณเล่นกีฬามาเหนื่อยๆ หรือออกกำลังไปมากๆ จนคิดว่าร่างกายสูญเสียเกลือไปกับเหงื่อ เครื่องดื่มที่ดีที่สุดสำหรับนาทีนั้นก็คือน้ำเปล่า จริงอยู่ที่ว่าร่างกายต้องการโซเดียม แต่เมื่อเหงื่อท่วมตัวในร่างกายก็มิได้อยู่ในภาวะขาดเกลือทันทีทันใด คุณต้องดื่มน้ำมากๆ ชดเชยเหงื่อที่หลั่งรินออกไปมาก น้ำจะเข้าสู่กระแสเลือดได้เร็วกว่าเครื่องดื่มเกลือแร่หรือกลูโคสด้วยซ้ำ และการดื่มน้ำเกลือเข้าไปทันทียิ่งไม่ถูกต้องเพราะร่างกายจะดึงน้ำไปจากกล้ามเนื้อเพื่อไปกรองเกลือทำให้กล้ามเนื้อขาดน้ำกะทันหันและไตของคุณอาจมีปัญหาเมื่อมีปริมาณเกลือในเลือดสูงเพราะน้ำระเหยภายในนั่นเอง


หอยแมลงภู่ชูกำลังตัวจริง
ถ้าจะพูดถึง "ไข่" ที่ยอมรับกันมานานว่าเป็นตัวเอกในการบำรุงพลังได้อย่างวิเศษแล้วนั้นที่แท้ ยังไม่ถูกต้องนัก หอยแมลงภู่ต่างหากที่เป็นตัวจริงสำหรับอาหารซึ่งมีสรรพคุณช่วยสร้างเสริมพละกำลังให้กับสุขภาพร่างกายของคุณได้อย่างเต็มที่มากกว่าไข่ เพราะไข่ทำให้ร่างกายมีคอเลสเตอรอลมากเกินพอดีถ้ารับประทานมากๆ แต่สำหรับหอยแมลงภู่ยิ่งรับประทานมากก็ยิ่งดี ไม่ว่าจะเป็นหอยแมลงภู่สดหรือแห้งก็ล้วนมีคุณค่าอาหารสูงกว่าเนื้อวัวและเนื้อหมู่ที่ดูจะมีบทบาทกับคนเรามากกว่าหอยแมลงภู่ ถ้าคุณรับประทานหอยแมลงภู่สม่ำเสมอร่างกายจะมีพลังแข็งแรงอย่างเห็นได้ชัด ระบบการไหลเวียนของเลือดดีเยี่ยม บำรุงเลือดลม รักษาความร้อนในร่างกายให้สมดุล และพิชิตอาการเฉื่อยชาอ่อนเปลี้ยเพลียแรงได้อย่างน่าอัศจรรย์


เบื่ออาหาร จิตใจหม่นหมอง ต้องลองกินลำไย
เด็กๆ มักถูกห้ามว่าอย่ารับประทานลำไยมากเกินไป จำทำให้ร้อนในและไม่สบายได้ แต่ถ้าเมือ ใดก็ตามที่คุณรู้สึกว่าร่างกายไม่สดชื่น ความคิดอ่านตื้อๆ ตันๆ ไม่คึกคัก อ่อนเพลีย เลือดลมไม่ดี จิตใจหม่นๆ มัวๆ อารมณ์แปรปรวนง่าย เมื่อนั้นแหละที่คุณควรสนใจลำไยเป็นพิเศษ คุณอาจลองหาซื้อลำไยชนิดตากแห้งนำมาปรุงร่วมกับเมนูจานใดจานหนึ่งก็ได้ เป็นต้นว่า ลำไยตุ๋นรวมกับไข่ตุ๋น ซอยลำไยแห้งลงไปในผัดหรือในแกงบ้างก็ไม่เลว ลำไยมีน้ำตาลที่เป็นเมนูโปรดของ "สมอง" และเป็นน้ำตาลที่ไม่มีพิษภัยอย่างน้ำตาลทรายขาว คุณจะรู้สึกอยากรับประทานอาหารมากขึ้น เจริญอาหาร มีกำลังวังชา ความคิดแล่นราบรื่น สมองปลอดโปร่ง อารมณ์ดี ลำไยยังช่วยบำรุงม้าม บำบัดโรคกระเพาะ บำรุงหัวใจ บำรุงการไหลเวียนของเลือด บำรุงระบบประสาท ทำให้ไม่เครียดง่าย


ขิงยิ่งแก่ยิ่งเป็นยาดี แก้คลื่นไส้ รักษาท้องเฟ้อ
ขิงแก่ปรุงเป็นเมนูไก่ผัดขิงหรือขิงแก่ซอยใส่โจ๊กและอาหารจานอื่นๆ นั้นมักถูกเขี่ยทิ้งไปอย่าง น่าเสียดาย คุณควรฝึกเด็กๆ และแนะนำผู้ใหญ่รอบข้าง (รวมทั้งตัวคุณเอง) ให้หมั่นรับประทานขิงบ้าง เพราะขิงมี สรรพคุณทางยา จะช่วยบำบัดเยียวยาอาการสะอึก อาการท้องเฟ้อ ท้องอืด แน่นท้อง อาการคลื่นไส้พะอืดพะอมอยากอาเจียน ขิงช่วยขับลมและขับความเย็นชื้นในร่างกาย แม้แต่อาการคัดจมูกและเป็นไข้หวัดเพียงรับประทานขิงก็ทุเลาและหายได้ทันใจ ควรเติมขิงซอยในอาหารจานใดก็ได้อย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาสุขภาพ


ฟื้นฟูร่างกายด้วยปลาตะเพียน
สารอาหารในปลาตะเพียนจะช่วยเสริมสร้างพลังงานแก่ร่างกายของคนที่เพิ่งฟื้นไข้ได้ดีหรือถ้า คุณรู้สึกอ่อนเพลียง่าย ไร้เรี่ยวแรงเจ็บป่วยบ่อยๆ ร่างกายอ่อนแอ คุณควรรับประทานปลาตะเพียนเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายให้มีพลังและสดชื่นขึ้นอย่างทันอกทันใจ ปลาตะเพียนยังช่วยแก้ร้อนในได้ดี บำรุงม้าม ช่วยขับปัสสาวะ แม้รับประทานทุกๆ วันก็ไม่ทำให้ร่างกาย "ร้อน" เกินไป เหมือนอาหารบำรุงบางชนิด เพราะปลาตะเพียนมีฤทธิ์ปานกลาง อาการไอ เจ็บคอ กระหายน้ำบ่อยๆ ก็จะหายไปถ้ารับประทานปลาตะเพียนเป็นประจำ


ปลาแห้งตัวเล็กตัวน้อยให้วิตามิน D แสนด
ี คุณทราบอยู่แล้วว่าวิตามินดีนั้นช่วยดูแลกระดูกให้แข็งแรง ช่วยดูดซึมแคลเซียมและ ฟอสฟอรัสจากกระแสเลือดสู่กระดูก ช่วยให้เด็กๆ เติบโตเร็ว แข็งแรง แล้วคุณทราบไหมว่าปลาแห้งตัวเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละคือแหล่งวิตามินดีที่ดีเยี่ยมเลยทีเดียว นอกจากปลาตัวเล็กตัวน้อยแล้วแหล่งวิตามินดีอื่นๆ ยังมีอีกมาก เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาซาบะ ปลากระป๋อง ปลาทูน่า ทอดมันปลา ลูกชิ้นปลา เห็ดหอม ตับ ไข่แดง นม เนยสด เป็นต้น


หมั่นดื่มน้ำมะนาว กินสตรอเบอรี่ มะเขือเทศ ถ้ามักใช้ยาแก้ปวดเป็นประจำ
เมื่อปวดหัว ปวดฟัน ตัวร้อนเป็นไข้ เป็นหวัด คนเรามักสะดวกในการซื้อหายาจากร้านขาย ยาใกล้บ้านมารับประทานเองโดยไม่ต้องไปพบแพทย์ เพราะรับประทานยาแอสไพรินเพียง 1-2 วันก็สามารถหายป่วยได้แล้ว แต่การใช้ยาแอสไพรินบ่อยๆ ครั้งหรือใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ตัวยาจะไปต้านการดูดซึมวิตามิน ทำให้วิตามินต่างๆ โดยเฉพาะวิตามินซีถูกขับไสไล่ส่งออกจากร่างกายของคุณโดยทางปัสสาวะ ฉะนั้นช่วงใดที่คุณต้องใช้ยาแก้ไข้ แก้ปวดต่างๆ แล้วก็ควรเติมวิตามินซีให้กับร่างกายมากเป็นพิเศษ วิตามินซีมีอยู่ในผักสดและผลไม้ทุกชนิด หรือถ้าคุณหมั่นดื่มน้ำมะนาวบ่อยๆ (ไม่ต้องเติมน้ำตาลมาก) รับประทานสตรอเบอรี่และมะเขือเทศสดๆ เป็นประจำ ร่างกายก็จะได้วิตามินซีอย่างพอเพียงแน่นอน


ต้องกินอะไรจึงจะได้วิตามินเอ
วิตามินเออยู่ในเครื่องในสัตว์ ปลาไหล นม เนย น้ำมันตับปลา ส่วนวิตามินเอในรูปแคโรทีน อยู่ในพืชผักสีเหลืองหรือสีส้ม เช่น แครอท แตงโม แอปริคอท ส้ม ฟัก ทอง ข้าวโพด มันฝรั่ง มันเทศ น้ำเต้า ในพืชผักสีเขียวและสีขาวก็มีบ้าง เช่น สาหร่ายทะเล ดอกกะหล่ำ แตงกวา หอมหัวใหญ่ เด็กๆ ต้องการวิตามินเอเพื่อร่างกายที่เจริญเติบโต โครงกระดูกแข็งแรงเจริญอาหาร เม็ดเลือดแดงได้รับการสร้างเสริม ฟันมีสารเคลือบ หนุ่มสาวและผู้ใหญ่ก็ต้องการวิตามินเอมาทำหน้าที่สำคัญๆ มากมาย ช่วยดูแลเซลล์ผิวหนังและเยื่อบุ ช่วยให้ผิวสวย ตาดี ผมงาม เล็บแข็งแรง


บำรุงประสาทด้วยไทอามีน
ไทอามีนก็คือวิตามินบี1 ซึ่งมีหน้าที่ช่วยในกระบวนการเปลี่ยนแป้งหรือน้ำตาลให้เป็นพลังงาน ถ้าร่างกายขาดวิตามินบี1 เมื่อใดการเปลี่ยนแปลงนี้ก็จะติดขัดบกพร่อง มีผลต่อร่างกายมากมายดังนี้ ระบบประสาทผิดปกติ ทำให้ปวดศีรษะบ่อยๆ ประสาทอ่อน หงุดหงิดง่าย อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ท้องอืด ท้องผูก เบื่ออาหาร น้ำหนักลดหรือเพิ่มเกินปกติ หอบง่าย เหนื่อยง่าย เป็นเหน็บชา พูดติดอ่าง สายตาเสื่อม หัวใจทำงานเสื่อมลง ฯลฯ แต่ถ้าร่างกายได้รับวิตามินบี1 หรือไทอามีนเพียงพอความสดชื่นกระฉับกระเฉงก็จะเกิดขึ้น การรับประทานของหวานมากๆ ก็ทำให้ไทอามีนยิ่งลดน้อยลง อาหารที่มีวิตามินบี1 คือ ข้าวกล้อง ข้าวสาลี ข้าวซ้อมมือ ตับ เต้าหู้ ถั่วหมัก ถั่วแระ รำข้าว งา กระเทียม


ตาแดง ปากเป็นแผล เฉื่อยชา ต้องถามหาไรโบฟลาวิน
ความจริงแล้วไรโบฟลาวินที่คุณต้องการก็คือวิตามินบี2 นั่นเอง หน้าที่ของวิตามินบี2 คือการช่วยสังเคราะห์คาร์โบไฮเดรต เปลี่ยนน้ำตาลและแป้งให้กลายเป็นพลังงาน สร้างเอนไซม์ที่จำเป็นช่วยในการรับออกซิเจนเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ซ่อมแซมเนื้อเยื่อ เมื่อคุณมีอาการตาแฉะ ตาแดง หรือลิ้นเป็นแผล มุมปากเป็นแผล ริมฝีปากอักเสบ นั่นล่ะคือสัญญาณของการขาดไรโบฟลาวิน อาการเฉื่อยชา เกียจคร้าน ไม่มีแรง ตาไวต่อแสง ตาพร่า แสบตา ปากคล้ำ มุมปากด่างขาว ง่วงบ่อยๆ ตัวสั่นๆ เดินเหินไม่คล่อง ความดันโลหิตสูง ตัวเล็กแคระไม่โต (กลุ่มเด็กๆ) อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายขาดสารสำคัญนี้ ซึ่งคุณจะต้องรีบรับประทานอาหารที่มีไรโบฟลาวินให้พอเพียง เช่น ไข่แดง นม นมแม่(สำหรับเด็ก) ตับวัว ตับหมู เนยแข็ง ไข่ปลา ยีสต์ เนื้อวัว ไก่ ถั่ว มันฝรั่ง


ฟุ้งซ่าน หลับยาก พฤติกรรมสับสน แก้ไขได้ด้วยการกินอาหารบางกลุ่ม
คุณควรรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งวิตามินบี3 คือ ปลา นม เมล็ดข้าวสาลี ผักใบเขียว เนื้อสัตว์ ถ้าปล่อยให้ร่างกายขาดวิตามินบี3 โดยเฉพาะท่านที่ดื่มเหล้ามากๆ จะยิ่งต้องการวิตามินบี3 ผลร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อขาดวิตามินบี3 มีมากมาย เป็นต้นว่าลิ้นอักเสบ มีกลิ่นปากแรง กระพุ้งแก้มเปื่อย เป็น โรคลำไส้ ขับถ่ายยาก ง่วงซึม คลื่นไส้วิงเวียน ปวดศีรษะบ่อยๆ เครียด วิตกกังวล ฟุ้งซ่านจนนอนไม่หลับ อยากหัวเราะหรืออยากร้องไห้โดยไร้สาเหตุ พฤติกรรมวุ่นวายแปรปรวน สับสนหดหู่ ก้าวร้าว


รับประทานถั่วต่างๆ เพื่อเยียวยาผิวหยาบกร้าน
การที่ผิวพรรณหยาบกร้านไม่นวลเนียนสดใสนั้นก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการขาดวิตามินบี6 นอกจากผิวแห้งหยาบกร้านแล้วอาจมีอาการอื่นๆ คือเป็นแผลที่ลิ้น เป็นโรคโลหิตจาง โรคลมชัก โรคเศร้า ซึม หอบหืด เป็นนิ่วในไต อาหารที่มีวิตามินบี6 จะช่วยบำรุงระบบประสาท บำรุงสมอง ป้องกันตะคริว คุณสามารถรับประทานวิตามินบี6 ได้จากเนื้อไก่ เนื้อปลา เนื้อหมู ตับ ข้าวโพด แฮม เนื้อวัว กล้วย ลูกเกด ลูกพรุน โดยเฉพาะถั่วต่างๆ และถั่วแขก


น้ำมันพืชก็มีวิตามินเหมือนกัน
ในการปรุงอาหารจานผัดๆ ทอดๆ น้ำมันพืชเป็นปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้ แต่คนที่สนใจเรื่อง การลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด การลดหรือควบคุมน้ำหนัก ก็มักจะงดเว้นอาหารผัดๆ ทอดๆ เพื่อเลี่ยงไขมัน ซึ่งนั่นเป็นการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง แต่ถ้าคุณจะรับประทานอาหารจานผัดจานทอดบ้างก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เพราะในน้ำมันพืชนั้นเป็นแหล่ง วิตามินอีที่ดีเยี่ยม วิตามินอีช่วยบำรุงกล้ามเนื้อหัวใจ ช่วยดึงประโยชน์จากไขมันมาใช้กับต่อมต่างๆ คุ้มครองปกป้องมิให้วิตามินต่างๆ สูญสลาย ดูแลมิให้เลือดจับเป็นก้อน ช่วยสร้างเสริมผิวหนังใหม่ ชะลอความชราและช่วยปรับอุณหภูมิในร่างกาย น้ำมันพืชที่คุณจะใช้ประกอบอาหารนั้น คุณควรใช้เพียงเล็กน้อยในการผัดหรือทอดอาหาร นอกจากในน้ำมันพืชแล้ววิตามินอีพอมีอยู่บ้างไม่มากในข้าวโอ๊ต ผักกาดหอม มะเขือเทศ แครอท ไข่แดง ไข่ปลา ถั่วต่างๆ และเมล็ดทานตะวัน


แพ้ท้องรุนแรงนึกถึงวิตามินบี6
ว่าที่คุณแม่คนใหม่เมื่อตั้งครรภ์แล้วควรรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี6 เพื่อป้องกัน อาการแพ้ท้อง หรือถ้าเกิดมีอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรงแล้วการรับประทานวิตามินบี6 มากๆ ก็จะช่วยลดอาการนั้นให้ทุเลาเบาบางลงไปได้อย่างดี นอกจากช่วยเยียวยารักษาอาการแพ้ท้องแล้วยังช่วยดูแลสุขภาพของคุณแม่และลูกน้องในครรภ์อีกด้วย อาหารที่เป็นแหล่งวิตามินบี6 ได้แก่ ถั่วต่างๆ ถั่วเหลือง ไข่ นม ข้าวโพด ข้าวสาลี ตับสัตว์


สิงห์อมควันต้องการวิตามินซีมากเป็นพิเศษ
การที่คุณสูบบุหรี่มากๆ นั้นทำให้วิตามินซีลดลง บุหรี่เพียง 1 มวน สามารถทำลายวิตามินซี ได้ถึง 25 มิลลิกรัม ลองคิดดูว่าถ้าวันหนึ่งๆ คุณสูบบุหรี่ 10 มวนหรือ 20 มวนวิตามินซีจะถูกทำลายไปกี่ร้อยมิลลิกรัม หากคุณยังไม่สามารถเลิกบุหรี่ได้ก็ควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีเพื่อให้ร่างกายได้วิตามินซี อย่างพอเพียง ผักสดๆ ผลไม้สดๆ ล้วนเป็นแหล่งวิตามินซีที่ดีเยี่ยม มะเขือเทศ สตรอเบอรี่ มะนาว ส้ม พริกหยวก ผักกะหล่ำปลี ฯลฯ เหล่านี้ควรรับประทานสดๆ จะเกิดผลดีต่อสุขภาพแน่นอน


นักดื่มอย่าลืมรับประทานตับ
ในตับนั้นมีวิตามินและแร่ธาตุสำคัญๆ มากมายมหาศาล คุณสามารถรับประทานตับสัตว์ได้ทุก มื้อหรือทุกวันโดยไม่ได้รับพิษภัยใดๆ จากการรับประทานมากๆ โดยเฉพาะถ้าคุณชอบดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ หรือไวน์ ร่างกายของคุณยิ่งต้องการวิตามินบี6 และวิตามินบี1 เพื่อช่วยลดไขมันในตับ ช่วยทำหน้าที่ดูดซึมโปรตีนและไขมัน และช่วยดูแลระบบประสาท ตับมีวิตามินบี6 และบี1 ส่วนแหล่งอาหารอื่นๆ ที่มีวิตามิน 2 ชนิดนี้ได้แก่ รำข้าว ถั่วหมัก ถั่วแระ เต้าหู้ กระเทียม สาหร่ายทะเล งา กระเทียม ปลา นม ไข่ ข้าวโพด


นักกินอาหารจานด่วนควรเสริมด้วยอะไร
สภาพสังคมปัจจุบันอาจไม่อำนวยให้คุณปรุงอาหารรับประทานเองที่บ้านทุกๆ วัน ทุกๆ มื้อได้ ดังนั้นการฝากท้องไว้กับร้านอาหารจึงเป็นกิจวัตรที่คนส่วนใหญ่ปฏิบัติ แต่อาหารจานด่วนจานเดียวที่คุณสั่งมารับประทานหรืออาหารขยะประเภทเบอร์เกอร์ต่างๆ มิได้มีคุณค่าสาร อาหารพอเพียงแก่ร่างกายอย่างแน่นอน และเมื่อขาดสารอาหารอาการผิดปกติต่างๆ ก็จะเกิดขึ้นกับร่างกายโดยที่คุณอาจไม่คิดว่าเป็นผลจากการขาดสารอาหารซึ่งเป็นคำพูดที่ฟังดูแล้วไม่น่ากลัวแต่อย่างใด แม้แต่อาการเล็กๆ น้อยๆ เป็นต้นว่าผิวหยาบกร้าน ผมร่วง อารมณ์หงุดหงิดง่าย เฉื่อยชา ฯลฯ เหล่านี้ก็เกิดขึ้นเพราะร่างกายขาดสารอาหารบางอย่าง


ข้าวโพดต้มไม่ใช่แค่ของว่างธรรมดา
คนไทยเรานิยมรับประทานข้าวโพดต้มเป็นของว่าง รับประทานเล่นๆ เพื่อความเอร็ดอร่อย จากตรอกซอกซอยจะพบว่ามีข้าวโพดต้มควันกรุ่นหอมฉุยขายอยู่ทั่วไป หาซื้อได้ง่าย แต่หลายๆ ท่านคงยอมรับว่าห่างหายจากการซื้อข้าวโพดต้มมารับประทานนานพอสมควรแล้วเหมือนกัน ข้าวโพดต้มนั้นมีวิตามินและแร่ธาตุสำคัญมากมายที่ร่างกายต้องการ ข้าวโพดต้มโดยเกลือ ข้าวโพดต้มโรยน้ำตาล เมื่อรับประทานอย่างสม่ำเสมอจะช่วยขับปัสสาวะ ลดอาการบวมน้ำ ช่วยขยายหลอดเลือด ปรับระดับคอเลสเตอรอลให้มีไม่มากเกินพอดีในร่างกาย ลดภาวะหลอดเลือดแข็งตัว ทำให้คุณไม่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง ช่วยต้านโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และยังช่วยป้องกันมะเร็งได้ดีเป็นพิเศษ


ปรนนิบัติหนังศีรษะเมื่อผมร่วง
สาเหตุของผมร่วงมีมากมายเหลือเกิน การที่เส้นผมของคุณหลุดร่วงมากผิดปกติแล้วคุณไปหา ซื้อครีมบำรุงหรือยาปลูกผมมารักษาเองนั้นอาจไม่ใช่วิธีที่ได้ผล เพราะอาจเป็นการรักษาไม่ตรงกับสาเหตุที่แท้จริง การอบผม ไดร์ผม เป็นประจำ การกัดสีผม ย้อมสีผม การว่ายน้ำทุกๆ วัน จนสารเคมีเกาะจับทำลายสภาพผม ความเครียด กรรมพันธุ์ โรคบางชนิด การติดเชื้อ การใช้ยาบางชนิดเป็นประจำ ต่อมไร้ท่อผิดปกติ ช่วงตั้งครรภ์ ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงมากๆ ได้ทั้งนั้น คุณควรปรึกษาแพทย์โดยตรงจะดีกว่าคาดเดาเอาเอง เพราะบางทีคุณอาจขาดสารอาหารบางชนิดผมจึงร่วง ซึ่งการบำรุงด้วยครีมแพงๆ นับ 10 ขวดก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้อย่างแน่นอน เมื่อคุณมีอาการผิดปกติ ผมหลุดร่วงมากก็ควรหมั่นเอาอกเอาใจหนังศีรษะด้วยการนวดคลึงให้ทั่วๆ ศีรษะ การนวดจะทำให้เลือดไหลเวียนดี ณ บริเวณหนังศีรษะ การนวดจะช่วยกระตุ้นเลือดให้ไปหล่อเลี้ยงเส้นผมได้อย่างเต็มที่และทั่วถึง แต่คุณจะต้องนวดๆ คลึงๆ อย่างเบามือ การนวดแรงๆ ไม่ได้ให้ประโยชน์ใดเลย เช่นเดียวกับการหวีผมแรงๆ ก็จะทำให้เส้นผมขาดง่าย หนังศีรษะ เป็นแผล และเกิดรังแคได้ง่าย คุณควรหมั่นนวดคลึงหนังศีรษะและใช้หวีนุ่มๆ หวีผมช้าๆ นานๆ โดยเฉพาะบริเวณหนังศีรษะควรใช้แปรงหวีผมนวดคลึงด้วย ไม่ใช่หวีแค่เส้นผม ควรหวีตั้งแต่โคนผมที่หนังศีรษะลงไปจนจรดปลายผม การนวดหนังศีรษะเป็นการกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนทั่วหนังศีรษะเพื่อรักษาสุขภาพของเส้นผม แต่ไม่ใช่เป็นการกระตุ้นที่จะทำให้เส้นผมงอกงามได้ทันใจแต่อย่างไร


ร้อนนักต้องฟักเขียว
คุณสามารถดับร้อนในร่างกายได้ด้วยการรับประทานฟักเขียว จะนำมาต้มจืด ตุ๋น หรือผัด ก็ แล้วแต่ความพอใจ ฟักเขียวมีคุณสมบัติที่ค่อนข้างเย็น เมื่อรับประทานแล้วคุณจะหายจากอาการร้อนใน เพราะฟักเขียวจะช่วยดับความกระหาย ช่วยให้คอชุ่มชื้น ระบายความร้อน แก้ท้องผูก ลดอาการบวมน้ำ เมืองไทยเราอากาศร้อนอบอ้าว ถ้าคุณรับประทานฟักเขียวอย่างสม่ำเสมอคุณจะไม่ค่อยเป็นแผลในปากและไม่ต้องเลียริมฝีปากบ่อยๆ เมื่อปากแห้ง


อันตรายจากท้องผูก
อาการท้องผูกนั้นโดยมากเกิดขึ้นกับคุณผู้หญิงที่ลดน้ำหนักอย่างไม่ถูกต้อง มีการอดอาหาร ทำ ให้ไม่มีอะไรจะถูกขับถ่ายออกมา บางท่านไม่ได้เล่นกีฬา ไม่เคยออกกำลังกาย บางท่านไม่รับประทานอาหารที่มีกากและเส้นใย มีผลทำให้ลำไส้ไม่ได้ออกกำลังจึงไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน ด้วยเหตุนี้คุณผู้ชายจึงเป็นน้อยกว่าผู้หญิง เมื่อท้องผูกร่างกายก็ไม่ได้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย สุขภาพของคุณจะทรุดลงจนผิวพรรณแห้ง หยาบกร้าน หรือผิวมีแต่จุดด่างดำ รอยตุ่ม รอยผื่นต่างๆ คุณควรฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลา อย่ากลั้นไว้นาน หรือไม่ก็ควรสนใจกับการขับถ่ายหรือการกินอาหารอุดมเส้นใยเพื่อช่วยในการขับถ่าย


อาบน้ำอุ่นกระตุ้นระบบหายใจ
ถ้าบ้านของคุณมีเครื่องทำน้ำอุ่นอยู่แล้วการอาบน้ำอุ่นอย่างสม่ำเสมอก็คงสามารถทำได้สะดวก แต่สำหรับบ้านที่ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ก็สามารถที่จะต้มน้ำร้อนอาบบ้างอย่างน้อย 2 สัปดาห์ต่อ 1 ครั้งก็คงไม่วุ่นวายจนเกินไปนัก การอาบน้ำอุ่นช่วยกระตุ้นระบบหายใจให้ทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น ดังนั้นจึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับท่านที่มีสุขภาพหัวใจไม่แข็งแรงนัก อุณหภูมิของน้ำมีความอุ่นพอเหมาะ เช่น 45 องศา ยังจะช่วยเยียวยาอาการของโรคกระเพาะอาหารได้ดีอีกด้วย ทำให้ร่างกายสดชื่น ความดันโลหิตเป็นปกติ นอนหลับสบาย แต่หากอาบน้ำที่ร้อนมากๆ จะยิ่งทำให้ร่างกายของคุณอ่อนเพลียมากขึ้น


คอนแท็กเลนส์ต้องสะอาดที่สุด
คนสายตาสั้นที่ไม่ชอบการสวมแว่นเสริมบุคลิก แต่รู้สึกสะดวกสบายกับการใส่คอนแท็กเลนส์ มากกว่า ก็ควรจะยึดถือในเรื่องความสะอาดอย่างเคร่งครัดที่สุด คอนแท็กเลนส์ชั่วคราวก็ใช้ได้สะดวกสบายดี แต่คุณก็ต้องหมั่นล้างด้วยน้ำยาทำความสะอาดเลนส์เช่นเดียวกับชนิดถาวร เพื่อขจัดคราบไขมันและเศษละอองธุลีต่างๆ ที่ตาเปล่าของคุณอาจมองไม่เห็น ปัจจุบันมีคอนแท็กเลนส์ชนิดใส่นอนได้ แต่โดยหลักความจริงแล้วคุณไม่ควรจะใส่ในขณะนอนหลับ และอย่าลืมว่าคุณจะต้องล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดทุกๆ ครั้งก่อนและหลังที่จะสัมผัสคอนแท็กเลนส์


ดวงตาก็เมื่อยล้าเป็นเหมือนกัน
คุณเคยรู้สึกเมื่อยมือหรือปวดหลัง ปวดเอว แต่อาจไม่เคยรู้สึกเมื่อยดวงตาอย่างจริงจัง เพราะ ดวงตาเป็นอวัยวะที่เสมือนมิได้ต้องทำงานหนักนักๆ ทั้งๆ ที่จริงแล้วดวงตาคู่นี้ของคุณทำงานหนักกว่าอวัยวะบางส่วนเสียอีก แม้คุณจะไม่รู้สึกเมื่อยตานักแต่เมื่อใช้สายตามากๆ ต่อเนื่องกัน 2-3 ชั่วโมงก็ควรพักคราวหนึ่งด้วยการบริหารดวงตา วิธีง่ายๆ ในการบริหารดวงตาก็คือ วางศีรษะตรงๆ กลอกตาไปในลักษณะรูปวงกลมๆ ซ้ำๆ จากตรงไปทางขวา ลงข้างล่างก่อนที่จะวนไปทางซ้าย เหลือบมองขึ้นข้างบน แล้ววนกลับทางขวา ทำสลับข้างกันอีกครั้ง แล้วก็ทำดังเดิมสลับกันอีก 1 ชุด การบริหารดวงตาเช่นนี้วันละ 2 ครั้งทุกวันทำให้ดวงตาได้รับการผ่อนคลายดีที่สุด


กลิ่นหอมเพื่อสุขภาพ
ในบ้านของคุณนั้นหากมีกลิ่นอับๆ ก็อาจมีผลต่ออารมณ์ของคุณได้อย่างที่คุณอาจไม่รู้ตัว ความหอมนั้นมีผลดีต่ออารมณ์ของคนเราอย่างจริงแท้ ในปัจจุบันจึงมีน้ำมันหอมระเหยหลากกลิ่นหลาย สไตล์เพื่อสุขภาพโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหอมระเหยชนิดที่ผสมกับน้ำอาบ ชนิดที่ทานวดทั่วร่าง และชนิดที่ต้องจุดเทียนอังให้ตัวน้ำมันระเหยส่งกลิ่นหอมอบอวล แต่ละกลิ่นนั้นมีคุณสมบัติแปลกแยกแตกต่างกันออกไป เป็นต้นว่ากระตุ้นระบบประสาทให้คึกคักกระฉับกระเฉง คลายเครียดหรือช่วยให้หลับสบายเป็นต้น ถ้าคุณไม่ชอบกลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหยเหล่านี้ก็อาจใช้สำลีชุบน้ำหอมเล็กน้อยแล้วนำไปวางข้างหมอน ในตู้เสื้อผ้า เพื่อให้มีกลิ่นหอมเย็นๆ ทุกมุมในบ้าน สร้างความรื่นรมย์ให้สุขภาพจิตใจได้เป็นอย่างดี

Friday, December 15, 2006

29 สุดยอดอาหาร คงความอ่อนเยาว์

สดใสดูอ่อนกว่าวัย Stay looking young

เพียงแค่เลือกรับประทานอาหารที่ว่ามาทั้งหมดนี้ เพียงอย่างน้อย 1 อย่าง เป็นประจำทุกวัน ก็จะช่วยให้เส้นผมดำขลับ เงางาม ผิวพรรณผุดผ่องและดวงตาเป็นประกาย

1. บลูเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่า แอนโทไซยานิน (anthocyanin) สารเม็ดสีในบลูเบอร์รี่ ช่วยในการมองเห็น ขอแนะนำให้คุณลอง ปั่นบลูเบอร์รี่รวมกับนมหรือโยเกิร์ตดู

2. พริกหยวก : ทั้งพริกแดง พริกเขียว และพริกเหลืองต่างมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย น้ำฉ่ำๆ จากพริกหยวกยังจะช่วยให้สุขภาพเล็บแข็งแรง ลองนำพริกไปทำซัลซ่า โดยผสมเข้ากับมะเขือเทศ กระเทียม พริกแดง แตงกว่า น้ำมันมะกอก และน้ำมะนาวดูสิ นอกจากจะได้ประโยชน์มหาศาลจากเหล่าสุดยอดอาหารแล้ว ยังได้อร่อยกับเมนูเด็ดจากฝีมือของคุณเองอีก

3. กะหล่ำปลี : เห็นเขียวๆ ม่วงๆ อย่างนี้รู้มั้ยว่ากะหล่ำปลีนั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอ, ซีและเบตาแคโรทีนที่จะช่วยในเรื่องของผิวพรรณ เพียงหั่นกะหล่ำปลีบางๆ แล้วนำลงไปผัดกับขิงและกระเทียม เพียงเท่านี้ก็ได้อาหารมื้อค่ำสำหรับตัวคุณเองแล้ว

4. วอลนัท : ทองแดงในวอลนัทช่วยคงสภาพสีผมของคุณไม่ให้เปลี่ยนสีก่อนวัยอันควร ลองโรยวอล นัทลงบนสลัดหรือโยเกิร์ตก็ไม่เลวนะ

5. แอปริคอท : สารเบตาแคโรทีนในแอปริคอทช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยในการมองเห็นได้ดี ใส่แอปริคอทลงไปในสตูว์ไก่ ผสมกับขิงและอบเชยให้ได้กลิ่นอายแบบโมร็อคโค

6. อะโวคาโด : การรับประทานอะโวคาโดช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน และปกป้องผิวจากอันตรายที่เกิดจากแสงแดด เนื่องจากอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอี บดอะโวคาโดโรยหน้าโอ๊ตเค้กเป็นของทานเล่นดูก็ได้

7. สตรอเบอร์รี่ : วิตามินซีและ สารบางอย่างในสตรอเบอร์รี่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของผนังเส้นเลือด ผลไม้สีแดงสดทรงเสน่ห์แบบนี้ เพียงแช่เย็นไว้จิ้มกินกับเกลือตอนนั่งดูทีวีก็เพลินดีไม่น้อย

8. เต้าหู้ : หยุดยั้งผิวที่ซีดและแห้งโดยการรับประทานอาหารอย่าง เต้าหู้ เพราะในเต้าหู้มีสารที่จะช่วยคืนสภาพผิวและป้องกันรอยเหี่ยวย่น ลองผัดรวมกับผักกรอบๆ หรือทำเป็นต้มจืดเอาไว้ทานเป็นมื้อเย็นนอกจากจะช่วยคืนสภาพผิวแล้ว ยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี

9. ข้าวโอ๊ต : เต็มไปด้วยเส้นใยที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งยังช่วยลดอาการตึงเครียด จึงทำให้รอยเหี่ยวย่นน้อยลง เพียง โรยข้าวโอ๊ตลงบนมูสลี่ หรือนมอุ่นๆ ใส่น้ำตาลลงไปเล็กน้อยแค่นี้ก็ทานได้แล้ว กระชุ่มกระชวยเหมือนแรกสาว Stay feeling young

10. กระเทียม : สมุนไพรกลิ่นแรงอย่างกระเทียมมีคุณสมบัติป้องกันแบคทีเรีย ล้างพิษ และป้องกันไวรัส จากโรคภัยไข้เจ็บ ตั้งแต่ไข้หวัดไปจนถึงมะเร็ง อาหารไทยส่วนใหญ่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว

11. แครนเบอร์รี่ : ผลไม้มหัศจรรย์ช่วยต้านการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ จากงานวิจัยล่าสุดพบว่ายังช่วยป้องกันโรคเหงือก และแผลในช่องท้องได้ชะงัดอีกด้วย อาจจะทำเป็นแยมไว้รับประทานกับขนมปังหรือทำเป็นซอสแครนเบอร์รี่ไว้ทาไก่หรือเนื้อย่างก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน

12. ลินสีด : ช่วยลดอาการเจ็บตามข้อต่อ เพราะอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ที่ร่างกายใช้ในการสร้างฮอร์โมนที่มีคุณสมบัติป้องกันอาการอักเสบ ลองเติมลงในน้ำปั่นหรือโรยหน้าสลัดดูก็ได้นะ

13. กีวี : วิตามินซีและสารอาหารบางอย่างในกีวีช่วยในการไหลเวียนของออกซิเจน ลดปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น โรคหืด หอบ หั่นกีวีเป็นลูกเต๋าเสียบไม้กับมะม่วงหรือกล้วย ทาด้วยน้ำผึ้ง แล้วนำไปย่าง อาจจะได้รสชาติแปลกใหม่ที่น่าลิ้มลอง

14. ลูกพลัม : อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยป้องกันการถูกทำลายของไขมันซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเซลล์สมอง นำลูกพลัมไปเคี่ยวกับน้ำส้ม และโรยลงไปบนมูสลี่ หรือจะกินเล่น เป็นขนมขบเคี้ยวก็ไม่มีใครว่า

15. กล้วย : เป็นแหล่งรวมของโพแทสเซียม นอกจากกล้วยจะช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหารแล้วยังช่วยลดอาการท้องผูก แค่ผสมเข้ากับนม น้ำผึ้ง และอัลมอนด์ ก็จะได้อาหารเช้าที่แสนอร่อย

16. ส้ม : การรับประทานส้มทั้งผลแทนการดื่มน้ำส้มจะช่วยให้ได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ มิหนำซ้ำ วิตามินซีในส้มยังช่วยป้องกันและเยียวยาโรคหวัด นอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายด้วย

17. ข้าวกล้อง : ฮอตฮิต อินเทรนด์กันอยู่พักใหญ่ เพราะอุดมไปด้วยแร่แมงกานีสที่จะช่วยให้พลังงานกับร่างกายโดยการให้โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย ใครที่ไม่ชอบสีจัดจ้านของข้าวกล้องก็สามารถหุงข้าวกล้องรวมกับข้าวสวยได้

18. มะเขือม่วง : เปลือกของมะเขือม่วงอุดมไปด้วยนาซูนิน (nasunin) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยปกป้องสมองของคุณจากการถูกทำลาย เพื่อคงความฉลาดหลักแหลมของคุณไว้ ลองนำมะเขือม่วงไปทำแกง หรือรับประทานกับข้าวกล้องก็อร่อยไม่เบา

แข็งแรงได้ใจ Stay healthy!

จากการศึกษาพบว่า อะไรก็ตามที่คุณรับประทานเข้าไป มีโอกาสที่จะทำให้โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ดีขึ้นได้ เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคหัวใจ เพื่อให้อัตราการเสี่ยงของคุณลดน้อยลง ลองอาหารพวกนี้ดูสิ

19. ลูกพรุน : โพแทสเซียมในลูกพรุนช่วยลดคอเรสเตอรอลในเลือดและลดระดับความดันเลือด ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคหัวใจ เสิร์ฟคู่กับโยเกิร์ตหรือกินเล่นเป็นของว่างก็ดี

20. คะน้า : ช่วยให้ตับของคุณผลิตเอ็นไซม์ในการต่อต้านมะเร็ง เมื่อคุณเคี้ยวคะน้า จากการวิจัยพบว่า สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมได้ ฮืม...ม เลือกผัดคะน้าปลาเค็ม เป็นเมนูมื้อกลางวันดีกว่า (อ้อ อย่าลืมทุบกระเทียมลงไปด้วยนะ)

21. ผักโขม : คุณจะได้รับแคลเซียมจากผักโขม ในขณะเดียวกันก็มีแมกนีเซียมที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดี การรับประทานใบอ่อนของผักโขมในสลัด จะช่วยให้ป้องกันโรคกระดูกเปราะและหักง่ายเนื่องจากขาดแคลเซียม

22. ราสเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่าสารแอนตี้ออกซิเดนท์ในราสเบอร์รี่สามารถยับยั้งการเกิดเนื้อร้ายได้ ลองนำราสเบอร์รี่ไปราดด้วยช็อกโกแลตเหลวแล้วไปแช่เย็นดูสิ

23. ถั่วงอก : สารประกอบ ที่พบในถั่วงอก สามารถช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือด นอกจากนี้ถั่วงอกยังประกอบด้วยสารอาหารในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยเรื่องโรคเล็กๆ น้อยๆ ของสตรีในวัยหมดประจำเดือน ถั่วงอกผัดกับเต้าหู้ ทานกับข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อยไม่เบา

24. บล็อคโคลี่ : การรับประทานบล็อคโคลี่เป็นประจำ จะช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ถึง 20% และยังมีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย ลวกใส่ในสลัด หรือผัดกับกุ้งสดก็ไม่เลว

25. บีทรูท : เนื้อของบีทรูทอุดมไปด้วยเบต้าไซยานิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านมะเร็ง รับประทานโดยการนำไปตุ๋นหรือย่าง

26. องุ่นแดง : จะช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดเลือดจับตัวเป็นก้อน และดักจับไขมันในเลือดที่จะเป็นอันตรายต่อเส้นเลือดแดงของคุณ ใส่องุ่นแดงลงในสลัดหรือดื่มไวน์แดงสักแก้วระหว่างมื้อค่ำ

27. ปลาที่มีไขมัน : แซลมอน หรือเนื้อปลาชนิดอื่นๆ ที่มีไขมันปนอยู่บ้างนั้น สามารถช่วยปกป้องคุณจากโรคภัยไข้เจ็บมากมาย อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของสมอง ว่ากันว่าให้เด็กๆ กินปลาแล้วจะฉลาด ปลานึ่ง ปลาย่างราดซอสอร่อยๆ ล้วนเป็นทางเลือกที่ดี

28. มะเขือเทศ : สารไลโคพีนี (lycopene) ในมะเขือเทศจะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่สำคัญช่วยให้ผิวสวยอย่าบอกใครเลยเชียวล่ะ เลือกเอาเลยว่าคุณอยากจะใส่มะเขือเทศลงในอาหารอะไรบ้าง

29. หัวหอม : หัวหอมที่มีกลิ่นไม่หอมเหมือนชื่อนี้จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งยังช่วยในการรักษาและป้องกันโรคเบาหวาน ซอยเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ ใส่ในไข่เจียว หรือซอยใส่อาหารประเภทยำช่วยเพิ่มรสชาติได้ดีทีเดียว

เรื่องจริงจากนิยาย แดจังกึม

โครงการบรรยายวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์จุฬาลงกรณ์ฯ มองว่า นักเขียนได้หยิบยกความรู้เรื่องอาหาร ยา สมุนไพร และการรักษาของแพทย์หลวงสมัยก่อนได้อย่างน่าสนใจ ส่งผลต่อท่องเที่ยวเกาหลี ซึ่งวิถีชีวิตแบบตะวันออกนี้ อาหารไทยก็ไม่ได้ด้อยกว่า อรการ กาคำ รายงาน


อาหารนั้นเป็นทั้ง 'ศาสตร์และศิลป์' มีคุณค่าทางโภชนาการ และมีศิลปะในการปรุง และที่สำคัญต้องใส่จิตใจของผู้ปรุงลงไปด้วย รองศาสตราจารย์วีรวัฒน์ กนกนุเคราะห์ เห็นว่าการเข้ามาของละครโทรทัศน์เรื่อง แดจังกึม ถือเป็นความสำเร็จของการท่องเที่ยวเกาหลี ละครแต่ละตอนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ทว่าได้ผลเกินความคาดหมาย นับเป็นความเก่งกาจของคนเขียน ที่สามารถดึงความมีสาระสำคัญเล็กๆ น้อยๆ ให้มีความโดดเด่น ให้ความรู้ทางโภชนาการที่น่าจดจำเช่น ตอนที่แดจังกึมใช้น้ำร้อนล้างจาน ทำให้อาหารและเครื่องปรุงในครัวไม่เน่าเสีย ถือเป็นวิทยาศาสตร์ทางอาหารอย่างหนึ่ง

คงมีคนไทยอีกมากที่ได้ชมละครเรื่องนี้แล้ว เกิดความใฝ่ฝันจะได้ลิ้มลองอาหารเกาหลี และอยากไปเที่ยวประเทศเกาหลี ย้อนรอยแดจังกึม นับเป็นกระแสที่รุนแรงกว่าละครเรื่อง Full House ที่เคยทำให้หลายคนอยากลิ้มลองข้าวคลุกกิมจิ ทั้งที่บางคนไม่เคยนิยมชมชอบกิมจิ แต่ตอนนี้กลายเป็นของโปรดไปแล้ว หรือแม้แต่ยำแมงกะพรุนดอง แบบเกาหลี อาหารโปรดของ 'ยองเจ' พระเอกของเรื่อง ช่างน่าลิ้มลองเป็นยิ่งนัก

แดจังกึม เป็นเรื่องจริงของหมอหลวงหญิงคนแรกของราชวงศ์เกาหลี มีชีวิตเริ่มต้นจากการปรุงอาหารในห้องครัวของวังหลวงสมัยราชวงศ์โชซอน 'แด' หมายถึงผู้ยิ่งใหญ่ ตอนหลังกษัตริย์ ให้ป้ายหยกที่เขียนว่า 'แดจังกึม' แปลว่า 'จังกึมผู้ยิ่งใหญ่' ประวัติของเธอทุกวันนี้ก็ยังค้นหากันได้ และผู้เขียนนิยายได้นำเรื่องของจังกึมมาผูกเล่าเรื่องราวให้น่าสนใจ

ใส่รายละเอียดที่ปรุงแต่งขึ้น ตั้งแต่ชีวิตวัยเยาว์ ที่เกี่ยวข้องกับอาหาร จนเป็นแพทย์หลวง เธอสามารถเรียกยศศักดิ์กลับคืนมาให้แม่ได้สำเร็จ สุดท้ายกษัตริย์จุงจง แห่งราชวงศ์โชซอน ลำดับที่ 11 ของราชวงศ์เกาหลี ก็บอกเธอว่า อย่าอยู่ในเมืองที่แสนวุ่นวายนี้เลย มีรับสั่งให้ถือสารลับเดินทางไปพบ มินจุงโฮ (พระเอก) เรื่องราวจึง 'แฮปปี้เอ็นดิ้ง'


1. ตำรับอาหาร ภูมิปัญญาโบราณ

ตำรับอาหาร การปรุงอาหาร ของไทยเรามีความน่าสนใจไม่แพ้ชาติใด รศ.ภญ.ดร.สุปราณี แจ้งบำรุง อดีตนายกสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพฯ มองว่า 'จังกึม' เป็นคนที่มีความใส่ใจในการปรุงอาหาร ตอนที่แข่งขันทำอาหารฝีมือของผู้แข่งสูสีกัน

จนมาถึงจานสุดท้าย 'ยำทะเล' ทุกคนต้องปรุงอาหารเหมือนกัน ในราชสำนักสมัยนั้นนิยมใช้ 'เปลือกสน' ในการดับคาว แต่จังกึมคิดค้นวิธีใหม่ ใช้ 'เปลือกกระเทียม' ดับคาวอาหารทะเล ใส่น้ำใจ ก็คือ 'น้ำส้ม' ที่แม่และฮันซังกุง (เพื่อนแม่) หมักไว้เมื่อ 20 ปีก่อน แล้วฝังไว้ใต้ต้นไม้หอม จักรพรรดิ จึงเทคะแนนให้จังกึม เป็นผู้ชนะ เป็นตัวอย่างของการนำศิลปะวัฒนธรรมการหมัก และการปรุงอาหารมาเผยแพร่ให้ชาวโลกได้รู้

อาหารไทยมีทั้งศาสตร์และศิลป์เช่นกัน สมัยก่อนกว่าจะประดิดประดอยอาหารไทย ขนมไทยออกมาใช้เวลานาน เลือกอาหารที่มีประโยชน์ หากไม่รักษาวัฒนธรรม สร้างกระแสนิยมเรื่องอาหารไทยให้กับคนรุ่นหลังที่นับวันจะเห่ออาหารตะวันตกมากขึ้น ชะรอยอาหารไทย คงจะสูญหายไปกับกาลเวลา

ตำรับเก่าๆ ที่คนโบราณเคยปรุงก็คงจะหายไปด้วย เพราะนอกจากฝีมือการปรุงจะประณีตแล้ว บรรพบุรุษเรายังรู้ว่า เครื่องปรุงอะไรควรใส่กับอะไร เช่นกระชายช่วยดับกลิ่นคาวปลาในแกงเขียวหวาน หรือน้ำพริกลงเรือทำไมต้องกินกับกระเทียม ก็เพราะกระเทียมช่วยแก้นั่นเอง หรือทำไมคนโบราณจึงกินแกงส้มดอกแค ในฤดูปลายฝนต้นหนาว ก็เพราะว่าจะช่วยแก้สะบัดร้อนสะบัดหนาว ในยุคที่ฤดูกาลเปลี่ยน ช่วยปรับสมดุลให้ร่างกาย เพราะดอกแคมีวิตามิน และความเปรี้ยวจากน้ำส้มมะขามช่วยบำรุงธาตุเจ้าเรือนด้วยเช่นกัน

หรือทำไมอาหารบางชนิดต้องใส่ ใบสะระแหน่ ซึ่งเป็นพืชที่มีกลิ่นหอม ใบสะระแหน่ ชาวอียิปต์นิยมใส่ลงไปในชาร้อนๆ เพื่อเพิ่มรสชาติ มีความหอม สดชื่น สมองแจ่มใส ปลอดโปร่ง ทำให้แข็งแรงไม่เป็นหวัด เพราะมีวิตามินซีสูง เป็นต้น


2. ตำรับแพทย์แห่งราชสำนัก

ศาสตร์ของการดูโหงวเฮ้งของจีน สามารถวิเคราะห์โรคได้ นายแพทย์อำนาจ ชัยชลทรัพย์ ผู้อำนวยการ คลินิกเอ็มโอเอไทย เห็นว่า 'จังกึม' มองหน้าตาของ 'ซินแสน้อย' แล้วรู้ว่าเป็นโรคปอด ทฤษฎีแมคโคร ไมโคร คือการมองของใหญ่เห็นของเล็ก หรือมองของเล็กเห็นของใหญ่

เช่นเอาวันเดือนปีเกิดให้ดู (ของเล็ก) ก็จะรู้ว่าคนๆ นี้มีชะตาชีวิต รูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร (ของใหญ่) ทฤษฎีนี้เป็น อารยธรรมของจีนที่เผยแพร่ไปในประเทศเกาหลี, ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นศาสตร์ของการดูโหงวเฮ้ง การรักษาแบบจีน แบ่งเป็น 2 หมวดก็คือ การวินิจฉัย ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าคนนี้เป็นโรค หรือไม่เป็นโรค และเมื่อรู้แล้ว จะมี วิธีรักษา อย่างไร

แพทย์แผนจีนจะวิเคราะห์ 4 อย่าง ก็คือ

การดู (Looking) หรือการดูโหงวเฮ้ง ซินแสหรือหมอจะดูโหงวเฮ้งของผู้ป่วยได้ จะดูที่ทวาร ก็คือ ตา จะบอกถึง ตับ ถ้าเป็นจมูก จะบอกไปถึง ปอด, ปากคือกระเพาะ ลิ้น คือหัวใจ, หู คือไต หากจะดูว่าคนนี้เป็นคนอย่างไร ก็จะดูตั้งแต่หัวจรดเท้า ตั้งแต่หน้าตา ลำตัว และการเดิน หมอจีนที่เก่ง ดูหน้าก็จะรู้แล้วว่าคนนี้เป็นโรคอะไร

การฟัง (Hearing/Smelling) หมอจีน เกาหลี ญี่ปุ่น โบราณ จะเก่งเรื่องการฟัง แม้จะฟังจากการพูดโทรศัพท์ก็จะรู้ว่าคนนี้ป่วยหรือไม่ การฟังกับการดมกลิ่นเป็นสิ่งสังเกตที่ใช้ควบคู่กันได้ดี เมื่อสมัย 500-600 ปีก่อน ยังไม่น้ำหอมแพร่หลาย กลิ่นตัว จะเกิดจากกลิ่นอาหารที่อยู่ในร่างกาย บ่งบอกถึงโภชนาการ ย้อนหลังไปเมื่อ 1-3 วันที่ผ่านมา ว่าคุณกินอะไรเข้าไป มีส่วนต่อการวินิจฉัยโรค ว่ามีแนวโน้มเป็นโรคอะไร

การถาม (Inquiring) แพทย์แบบบูรณาการ ทั้งจีน เกาหลี ญี่ปุ่น จะถามผู้ป่วยตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ถามว่าเมื่อคืนนอนหลับหรือไม่หลับ ถามแม้กระทั่งว่าเมื่อคืนฝันถึงอะไร ปวดประจำเดือนมีอาการแบบไหน เวลาปวดทานน้ำแข็งแล้วปวดมากขึ้น หรือปวดน้อยลง เวลาปวดเอาน้ำอุ่นมาประคบบริเวณท้องน้อยแล้วอาการดีขึ้น หรือเลวลง

เป็นการถามที่มีระบบ ซึ่งในเรื่อง 'แดจังกึม' มีเรื่องราวของศาสตร์เหล่านี้ครบ สำหรับในราชสำนักโบราณ พระสนม มเหสี ต่างๆ นั้น เป็นที่หวงแหนของมหากษัตริย์ ชายอื่นไม่อาจมองหน้า หรือพบเห็นได้ง่ายๆ ถ้าพวกเธอป่วย หมอชายจะเข้าไปตรวจไม่ได้ ต้องมีฉากหรือม่านกั้นไว้แล้วเฝ้าถามอาการ แล้ววินิจฉัยโรค หากวินิจฉัยผิดก็จะถูกลงโทษ อาจจะถึงกับประหารชีวิตเลยก็ว่าได้

การคลำ (Palpation) ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการวินิจฉัยโรค หมอหลวง (ชาย) ตรวจชีพจรนางสนม, มเหสี ได้แต่ไม่ควรถูกเนื้อต้องตัว ดังนั้นหมอหลวงจึงใช้เชือกบางๆ พาดผ่านชีพจรข้อมือ อยู่นอกม่าน หรือฉากที่กั้นไว้ แต่การคลำนี้จะรวมไปถึงร่างกายที่คลำดูว่า มีก้อนอะไรตรงไหน เป็นก้อนร้อนหรือเย็น มีรายละเอียดลึกลงไปอีก

4 ขั้นตอนที่บอกมานี้นำไปสู่คำตอบว่า คุณเป็นโรคอะไร ศาสตร์แบบบูรณาการแบบไทยโบราณเรานั้น แม้กระทั่งครูเห็นหน้าตาลูกศิษย์ ก็สามารถบอกได้ว่า เด็กคนนี้ต่อไปต้องเรียนอะไร เห็นเด็กจับปากกาก็บอกได้ว่าเด็กคนนี้ต้องเรียนอะไร ครูดนตรีบางคน เด็กมาสมัครเรียนเปียโน ครูไม่รับเพราะดูนิ้วก็รู้แล้วว่าเรียนไม่ได้

คนที่ใช้ศาสตร์นี้ มักจะเป็น ครู หมอ และพระ สำหรับพระเวลามีศิษย์มาฝึกสมาธิ มองดูก็รู้ว่าสำหรับคนนี้ต้องใช้บทอะไร ต้องฝึกสติสมาธิแบบไหน หมอก็จะบอกว่าแนวโน้มของโรคคนนี้จะหายด้วยวิธีไหน ยา สมาธิ อาหาร ออกกำลังกาย หรือใช้มนตรา เป็นต้น


3. จากวิถีแห่งเต๋า ถึง หยิน-หยาง

ละครชุดยาวที่ทำให้ชื่อแดจังกึมเป็นที่จดจำของคนไทย ยังทำให้รู้ว่าการแพทย์ของเกาหลีโบราณ ได้รับอิทธิพลจากจีน ทว่านำมาประยุกต์ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมภูมิประเทศของตน ซึ่งคนไทยเชื้อสายจีน มีความรู้เรื่องศาสตร์เหล่านี้บ้าง

ทั้งเรื่องอาหารที่เป็นยา สมุนไพรต่างๆ หลักของแพทย์แผนจีนเมื่อหลายร้อยปีที่ตกทอดไปที่ประเทศเกาหลี จะมีทั้งเรื่องของอาหาร การฝังเข็ม ซึ่งต้นแบบจริงๆ ในจีนจะมีวิถีอยู่ 5 แบบ ก็คือ วิถีการดำเนินชีวิตแบบเต๋า เข้าสู่ภาวะตัวตนด้วยวิถีธรรมชาติ ตรงกับวิถีพุทธแบบบ้านเราที่ฝึกสมาธิ การนวดแบบจีน ที่ โรงพยาบาลหัวเฉียวมีการนวดแบบจีน การฝังเข็ม, สมุนไพร และ การออกกำลังกาย

ทั้งหมดนี้อิงทฤษฎีของ ยิน-หยาง หมายถึงการแบ่งขั้วพลังงาน ซึ่งคนโบราณจะไม่มีคำว่าตรงกลาง เช่นเดียวกับพระอาทิตย์กับพระจันทร์ มีแต่ร้อนมาก ร้อนน้อย หนาวมาก หนาวน้อย เป็นเชิงปริมาณเปรียบเทียบ วิถีทั้ง 5 แบบที่กล่าวมานั้น ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวว่าต้องรักษาแบบเดียวกัน แม้จะเป็นโรคเดียวกัน เพราะมนุษย์ที่เกิดมาแต่ละคนมีกลไกในร่างกายที่ซับซ้อน ไม่มีใครเหมือนกันแม้แต่คนเดียวสิ่งเหล่านี้ถูกกำหนดโดย เพศ กรุ๊ปเลือด และ In born Health ซึ่งถูกกำหนดไว้แล้วเมื่อตั้งแต่แรกเกิด

หรือแม้กระทั่งขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา ว่าขณะนั้นภาวะอารมณ์ของแม่เป็นอย่างไร อาหารที่รับประทานเข้าไปมีแคลเซียมน้อยหรือเปล่า สุขภาพเป็นอย่างไร เหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลต่อการกำหนด ความเป็นตัวตน และสุขภาพของเด็กคนนั้น คนจีนโบราณรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่มีวิธีที่จะทำให้ดีขึ้นได้ ด้วยการเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม และอารมณ์


4. หลากหลายอย่าง 'ตะวันออก'

ดร.สมใจ วิชัยดิษฐ เลขาธิการมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพ มองว่า อาหารแบบของชาวตะวันออกนั้นมีความหลากหลายในจานเดียวกัน มื้อเดียวกันคนไทยเรารับประทานอาหารหลายอย่าง

หากย้อนประวัติไปดูการรับประทานอาหารแบบไทย เราจะรับประทานข้าวกับกับข้าว ซึ่งมีหลากหลาย ฐานะดีจะมีกับข้าวหลายอย่าง 5-7 อย่าง ครอบครัวธรรมดาทั่วไป มีกับข้าว 3 อย่าง ทั้งน้ำพริก ผักจิ้ม ปลานึ่ง ฯลฯ คนจีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี ก็เช่นกัน ศาสตร์ของการกินอาหารแบบชาวตะวันออก สอดคล้องกับหลักโภชนาการในยุคปัจจุบัน ทั้งๆ ที่ วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมนี้มีมานับพันปี เมื่อเทียบกับการศึกษาเรื่องโภชนาการทางอาหารของมนุษย์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ถึงร้อยปี นับว่าบรรพบุรุษของมนุษย์ ชาวตะวันออกนั้นมีสติปัญญาที่เฉียบแหลมอย่างน่าอัศจรรย์

คนสมัยนี้ไม่ค่อยมีเวลารับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพราะต้องรีบออกไปทำงาน ไม่มีเวลาแม้กระทั่งกินข้าว จึงหันไปพึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร บางคนรับประทานเป็นกำ ทั้งวิตามินเอ, บี, ซี, ดี, อี, แคลเซียม ต่างๆ ถือว่าผิด

เพราะสิ่งที่รับประทานเข้าไปนั้น ขัดต่อระบบตามธรรมชาติที่ร่างกายมนุษย์พึงต้องการ บรรพบุรุษเรากินเข้าเพราะต้องการพลังงาน สารที่ให้พลังงานแหล่งของคาร์โบไฮเดรท ก็คือ ข้าว แป้ง เผือก มัน แหล่งของโปรตีน-ไขมัน ก็คือเนื้อสัตว์ต่างๆ 3 ชนิดนี้เท่านั้นที่จะให้พลังงาน การกินอาหารที่มีความหลากหลายจะนำมาซึ่งความมีสุขภาพดี เช่นเดียวกับทีมฟุตบอล ที่ควรมี 11 คน แต่ถ้าเหลือ 10 คน โอกาสชนะจะน้อยมาก ยิ่งถ้าเหลือ 9 คน ไม่ต้องพูดถึง หลับตาเห็นความพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ลงสนาม

ชาติตะวันตกบางทีกินเฉพาะแป้งอย่างเดียว หรือเนื้อสัตว์อย่างเดียว ทำให้พวกเขามีโรคภัยมากมายถามหา จนต้องคิดค้นวิตามินต่างๆ มาช่วยเสริม ซึ่งเป็นการแก้ไขที่ไม่ถูกวิธี อาหารฟาสต์ฟู้ดบางอย่างมีคุณค่าทางอาหารครบ ทว่าคนเราก็เลือกในสิ่งที่ผิด เช่น เคเอฟซี มีไก่ทอด มีมันบด มีโคสลอร์ (สลัดครีมผักที่มีกะหล่ำปลี หัวหอม แครอท) มีวิตามินและโปรตีน

แต่คนก็ไม่นิยมสั่ง ส่วนใหญ่กินเฉพาะไก่ทอดอย่างเดียว ดังนั้นอาหารจึงมีบทบาทที่ยิ่งใหญ่ต่อชีวิตของมนุษย์ อาหารจานเดียวของไทยที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนเช่น ข้าวยำปักษ์ใต้, ขนมจีนน้ำยากินกับผัก ฯลฯ เป็นต้น


5. แดจังกึม คือ ภูมิปัญญาของเกาหลี

ศ.ดร.โสภณ เริงสำราญ อาจารย์ภาคเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ ชื่นชมนักเขียนของเกาหลีว่าเก่ง ในขณะที่นักเขียนไทยน่าจะนำนิยายเรื่องนี้มาเป็นแบบอย่าง เพราะภูมิปัญญาของไทยเรานั้นมีอยู่มากมาย สามารถเขียนเป็นเรื่องราวได้เช่นกัน

อาหารไทยเราในกาพย์เห่เรือเครื่องคาวหวาน ก็รู้แล้วว่ามีหลากหลายไม่แพ้ชาติใดในเอเชีย อีกทั้งเรื่องของสมุนไพรกับอาหารเช่น ตะไคร้ช่วยผายลม แก้จุกเสียด แน่นเฟ้อ ขับปัสสาวะ รักษาอาการคลื่นเหียน ข่า ฆ่าแบคทีเรียแรงบวกแรงลบได้ นิยมใส่ข่าลงไปในต้มยำ หรือยำ ทานแล้วแก้ท้องเสีย แล้วยังช่วยดับคาวได้อีกด้วย พริกไทย ช่วยระบายท้อง ไม่อืดเฟ้อ

หากเรานำภูมิปัญญาไทยทั้งหมดมาทำเป็นเรื่องราวที่จดจำได้ง่าย ดีกว่านำมาท่องจำเพื่อเข้าสอบแล้วก็ลืม ก็จะเป็นการรักษาภูมิปัญญาไทยให้คนไทย เด็กไทย ได้รู้เป็นพื้นฐานไม่มีวันลืม การรักษาแบบไทยเราก็จะเน้นเรื่องของ ธาตุเจ้าเรือน เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นต้น

นายแพทย์อำนาจ สรุปว่า ทฤษฎีการรักษาแบบจีน จะเป็นทฤษฎียิน-หยาง แบ่งเป็น ร้อน-เย็น ภายนอก-ภายใน สรรพสิ่งในโลกแบ่งเป็นยิน และหยาง ทั้งสิ้น กลางวัน เป็นหยาง เพราะร้อน กลางคืนเย็น จะเป็นยิน หากคนที่ร้อนเสมอ แม้เปิดแอร์ก็ยังร้อน ควรจะดื่มกินอาหารประเภทยิน เพื่อดับร้อนในร่างกาย ฝึกสมาธิ ให้มีสติเยอะขึ้น แล้วห้ามยั่วโมโห เพราะจะโมโหง่าย

ศาสตร์ไทย-จีน-อินเดีย แบ่งมนุษย์ออกเป็น 3 ส่วน ร่างกาย-จิตใจ-สปิริต หรือจิตวิญญาณ (มีความเชื่อทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง) แพทย์ทางเลือกของฝรั่งเริ่มหันมาสนใจ ศาสตร์แบบบูรณาการของชาวตะวันออก ว่าควรจะให้ความสำคัญกับเรื่องของร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ คำจำกัดความของคำว่า สุขภาวะ หรือสุขภาพ ก็คือความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณนั่นเอง ดังนั้นเราจะทำอย่างไรให้คนไทยเรามีสุขภาวะที่ดี โดยทั่วกัน เป็นคำถาม เมื่อชมละครแดจังกึมแล้วย้อนดูตัวของเราเอง !


ที่มา : จุดประกาย กรุงเทพธุรกิจ

The chemical components of cigarette smoke


Nicotine
Nicotine is a powerful insecticide and poisonous for the nervous systems. Furthermore, there is enough (50 mg) in four cigarettes to kill a man in just a few minutes if it were injected directly into the bloodstream. Indeed, fatalities have occurred with children after they had swallowed cigarettes or cigarette butts.
When diluted in smoke, nicotine reaches the brain in just seven seconds, it stimulates the brain cells and then blocks the nervous impulse. This is where addiction to tobacco arises. Nicotine also causes accelerated heart rate, but at the same time it leads to contracting and hardening of the arteries: the heart pumps more but receives less blood. The result is twice as many coronary attacks. Nicotine thus also increases the consumption of lipids (which is why it has a weight-loss effect) and induces temporary hyperglycaemia (hence the appetite suppressing effect).

Carbon monoxide (CO)
This is the asphyxiating gas produced by cars, which makes up 1.5% of exhaust fumes. But smokers inhaling cigarette smoke breathe in 3.2% carbon monoxide – and directly from the source.
Oxygen is mostly transported in blood by haemoglobin. When we smoke, however, the carbon monoxide attaches itself to the haemoglobin 203 times more quickly than oxygen does, thereby displacing the oxygen; this in turn asphyxiates the organism. This causes the following cardiovascular complaints: narrowing of the arteries, blood clots, arteritis, gangrene, heart attack, etc. . . . but also a loss of reflexes and visual and mental problems. It takes between six and 24 hours for the carbon monoxide to leave the blood system.

Irritants
These substances paralyse and then destroy the cilia of the bronchial tubes, responsible for filtering and cleaning the lungs. They slow down respiratory output and irritate the mucus membranes, causing coughs, infections and chronic bronchitis.

Tars
As the cilia are blocked (see paragraph above), the tars in the cigarette smoke are deposited and collect on the walls of the respiratory tract and the lungs, and cause them to turn black. So, just because a smoker is not coughing, it doesn't mean that he or she is healthy! And this fact merely serves to pour water on one of the most common and poorest excuses given by smokers. The carcinogenic action of the tars is well known: they are responsible for 95% of lung cancers. It takes two days at least after cessation of smoking for the cilia to start functioning properly again, albeit only gradually. By smoking one packet of cigarettes every day, a smoker is pouring a cupful of these tars into his or her lungs every year (225 grams on average)!

Chemistry of Tobacco Smoke
No less than 4000 irritating, suffocating, dissolving, inflammable, toxic, poisonous, carcinogenic gases and substances and even radioactive compounds (nickel, polonium, plutonium, etc.) have been identified in tobacco smoke. Some of these are listed hereafter: Benzopyrene, dibenzopyrene, benzene, isoprene, toluene (hydorcarbons); naphthylamines; nickel, polonium, plutonium, arsenic, cadmium (metallic constituents); carbon dioxide, methane, ammonia, nitric oxide, nitrogen dioxide,
hydrogen sulphide (gases); methyl alcohol, ้thanol, glycerol or glycerine, glycol (alcohols and esters); acetaldehyde, acrolein, acetone (aldehydes and ketones); cyanhydric or prussic acid, carboxyl derivatives (acids); chrysene, pyrrolidine, nicoteine, nicotinine, nicoteline, nornicotine, nitrosamines (alkaloids or bases); cresol (phenols), etc.

Monday, November 20, 2006

start this blog

this blog created by boace.
agenda for this blog for tell good story about improve your health.

health is important for everybody. they need good health, and I help to write news or good thing for health's everybody.

thank you for visit this site.